รัฐเตรียมหากลไกกฎหมาย ควบคุมสื่อ

ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท) บอกว่า รัฐจำเป็นต้องหากลไกทางกฎหมายเพื่อควบคุมสื่อ แต่นายกสมาคมสื่อยังขอให้เชื่อมั่นว่าสื่อจะควบคุมกันเองได้ครับ
ในวงเสนาสื่อในวิกฤต ทางออกแระเทศไทย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการ กสทช. บอกว่าเป็นครั้งแรกที่ กสทช. ใช้อำนาจตาม ม.37 ออกจดหมายเตือนสื่อขณะกำลังออกอากาศในกรณีการถ่ายทอดสด เหตุการณ์ ดร.วันชัย ยิ่งตัวตาย นับเป็นวิกฤตหนักมาก ที่สื่อทำหน้าที่ล้ำเส้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการใช้ ม.37 ในการสั่งแบรนด์สื่อ มาโดยตลอด แต่เหตุการณ์วันนั้นตนก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ร่วมตัดสินใจให้ใช้ ม.37 ด้วย เนื่องจากกรณีนี้ตอบคำถามสังคมไม่ได้จริงๆ ว่ามีประโยชน์อย่างไร
น.ส.สุภิญญา ย้อนความว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีปรากฎการณ์ ที่สื่อสุดโต่งในหลายประเด็นทั้งช่องทีวีดาวเทียมถ่ายทอดสดเวทีการเมือง ที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดชัง และคำหยาบคาย แต่หลังรัฐประหาร ก็อยู่ในภาวะอำนาจพิเศษ ที่เปลี่ยนบทบาทของกสทช. ให้ควบคุมสื่อตาม คำสั่ง คสช. สื่อกลับมาเรียกร้องเสรีภาพอีกครั้ง และกรณีล่าสุด ซึ่งไม่ใช่ประเด็นการเมือง สื่อถูกตั้งคำถามเรื่องความสุดโต่งอีกครั้ง และมีปัญหาเรื่องการตีความคำว่า เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ และเรื่องส่วนบุคคล
ด้าน พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท) บอกว่า รัฐจำเป็นต้องหากลไกทางกฎหมายเพื่อควบคุมสื่อ หากดูจากอาชีพ อย่างเช่น แพทย์ พยาบาล ทนายความ เป็นต้น ต่างมีใบอนุญาตวิชาชีพ แต่สื่อมวลชนไม่มี จึงต้องการให้มีกลไกบางอย่างออกมาทำให้เรียบร้อย
แต่นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย บอกว่าก่อนจะถึงขั้นตอนของการใช้กฎหมายควบคุมสื่อขอให้ร้องเรียนมาที่สภาวาชีพเพื่อให้เรียกให้มาพูดคุยตักเตือนกันก่อนไปถึง กสทช.
นายวิสุทธิ์ ยอมรับว่า ธุรกิจสื่อแข่งขันกันแรง ในทำอะไรสุดโต่ง แต่ถ้าสภาวิชาชรพ ออกแนวปฏิบัติ มา ควรจะต้องร่วมมือกันปฏิบัติ ไม่แข่งขันกันในเรื่องนี้
สอดคล้องกับ ดร.สุดารัตน์ ดิษยวรรธนะ จันทราวัฒนากุล บอกว่าเอเจนซี่มักเหลือลงโฆษณา กับช่องที่มีเรตติ้งและนั่นอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สื่อต้องทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเรตติ้ง และเมื่อสื่อใดสื่อหนึ่งสุดโต่งจนพลาด ก็เหมือนปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง