ศิษย์ธรรมกายเปิด! เส้นทางเงินบริจาค "ธัมมชโย"

ปทุมธานี-เมื่อเวลา09.30 น. วันที่ 18พ.ค. 59 นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้แถลงข่าวเตรียมยกระดับการขอความเป็นธรรม ยืนหนังสือไปที่ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศพร้อมกัน โดยขอกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดี พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ทับสาร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นายธรรมนูญ อัตโชติ เป็นผู้ไปแจ้งความร้องทุกข์สนับสนุนให้เจ้าพนักงานกระทำหน้าที่โดยมิชอบ รวมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมและเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 200 มาตรา 83 มาตรา 86. และต่อจากนี้จะมีรายชื่อที่จะร้องเรียนเพิ่มมากขึ้น การกระทำผิดที่มากขึ้น เพื่อความเป็นธรรมและไม่ให้วัดพระธรรมกายตกเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

นายองอาจ กล่าวว่าที่ผ่านมาเราได้ไปร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ ไม่ใช่เป็นการใช่กฎหมู่เหนือกฎหมาย การที่ท่านกล่าวเช่นนี้เป็นการไม่เคารพสิทธิ์ของผู้อื่น ที่ใช่สิทธิตามกฎหมาย การออกไปของคณะสานุศิษย์ทั่วประเทศชั่วระยะเวลาเพียง 3-4 วัน เพื่อไปยืนหนังสือขอความเป็นธรรมถึงหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดทั่วประเทศ เราสานุศิษย์พึ่งความยุติธรรมของดีเอสไอไม่ได้ จึงหันไปพึ่งความยุติธรรมจาก คสช. เนื่องจาก คสช.กำลังดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศอยู่
"ครั้งที่แล้วนั้น การที่ดีเอสไอขออนุมัติศาลออกหมายจับแล้วศาลยกคำร้อง เนื่องจากศาลได้พิจารณาแล้วว่า หลวงพ่อธัมมชโยนั้นป่วย เป็นการยืนยันได้ว่ายังคงมีกระบวนการที่พยายามบีบครันหลวงพ่อธัมมชโย ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน"นายองอาจ กล่าว
หลังจากที่ศาลอาญาออกหมายจับพระธัมมชโยแล้วนั้น คณะศิษยานุศิษย์ได้เตรียมยืนหนังสือไปที่ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่องการขอกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดี พ.ต.ท.ปกรณ์ สุขีวกุล ร.ต.อ.ชาญณรงค์ ทับสาร นายธรรมนูญ อัตโชติ รวมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมและเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด

เนื่องจากทางพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เดินทางมาสอบปากคำหลวงพ่อธัมมชโยแล้วที่วัดธรรมกาย และได้ส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดไปยังอัยการ ซึ่งอัยการได้พิจารณาแล้วสั่งไม่ฟ้องหลวงพ่อธัมมชโย แต่ภายหลังกลับมีการตั้งคดีใหม่ขึ้นมาในเรื่องเดิมที่ได้สอบสวนเสร็จสิ้นไปแล้ว และตั้งข้อหาใหม่ว่าร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร ซึ่งถือเป็นการดำเนินคดีซ้ำซ้อน ขัดกับหลักกฎหมายที่ว่า การกระทำครั้งเดียวจะดำเนินคดีซ้ำซ้อนไม่ได้ เพราะพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนในมูลคดีนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว
ดังนั้นเพื่อความยุติธรรมจึงขอให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการสอบสวนตามอำนวจหน้าที่กับผู้ถูกร้องทั้งสาม เพื่อนำตัวไปลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 200 มาตรา 83 มาตรา 86