ไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กล่าวว่า จากข้อมูลล่าสุด ประกอบกับหลักฐานที่มีอยู่ ทำให้ไม่เชื่อว่า พระธัมมชโย อาพาธหนักถึงขนาดเดินทางออกจากวัดไม่ได้ แต่ยังแข็งแรงดีจากที่คณะศิษย์ยืนยันว่า พระธัมมชโยอาพาธหนัก
ทั้งนี้ หากทางดีเอสไอได้หลักฐานว่า พระธัมมชโยไม่ใช่อย่างนั้น และเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งในห้วงเวลาเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งขณะนี้ทางดีเอสไอก็ขอเอกสารรับรองทางการแพทย์เพิ่มเติม หากเอกสารที่ทนายนำมามอบให้เป็นเอกสารจริง ก็แล้วไป แต่หากไม่ใช่ก็ต้องมีการพิสูจน์กัน ผู้มอบก็จะต้องรับผิดชอบด้วย เอกสารต่างๆ จะต้องมีลายเซ็นมอบอำนาจจากพระธัมมชโย ด้วย ซึ่งทางดีเอสไอจะต้องพิจารณา
ขอยืนยันว่า ดีเอสไอ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
ผู้ที่มีอายุ 72 ปี หากป่วยจริง ไม่มีใครอยากจะให้พามาสู่กระบวนการตอนนี้ ก็ต้องให้นอนพักรักษาตัว กฎหมายให้อยู่แล้วเรื่องนี้เป็นกระบวนการทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ดีเอสไอจะเอาความเชื่อที่ลูกศิษย์เชื่อว่า ป่วย มาตัดสินทำตามคำขอของลูกศิษย์ไม่ได้ ต้องดูหลักฐาน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะได้ข้อยุติในช่วงเช้าวันที่ 17 พฤษภาคม
องอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า พระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย พระธัมมชโยเทศน์ครั้งสุดท้ายเมื่อ 22 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา และเป็นครั้งที่ทำให้อาการกำเริบ แล้วก็ไม่ได้ออกมาปฏิบัติศาสนกิจอีกเลย ขณะนี้อาการทรุดหนัก ป่วยหนัก การเดินทางออกนอกวัด ทำให้มีการเคลื่อนไหวอาจจะเป็นผลต่อชีวิต หรือสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นได้
ทางวัดไม่ได้ดื้อรั้น ไม่ใช่ว่าจะขัดขั้นตอนกฎหมาย ที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือกับกระบวนการทางกฎหมายมาโดยตลอด ก็ขอเพียงให้ดีเอสไอและสื่อมวลชนไปที่วัด จะได้ดูอาการของพระธัมมชโย ในขณะเดียวกันก็เข้าสู่กระบวนการต่างๆ เท่านั้นเองรูปถ่ายที่ปรากฏทางสื่อต่างๆ เห็นแต่ขา ไม่เห็นหน้า ตรงนี้ต้องเคารพสิทธิของผู้ป่วย ที่ต้องการให้เห็นในส่วนไหน
ถามว่า ดีเอสไอ ไปที่วัดพระธรรมกายเสียหายตรงไหน ?
หากเป็นอย่างที่กล่าวหา ตรงนี้ก็ยกไป แต่ถ้าไม่เป็นอย่างที่กล่าวหา เพราะท่านป่วยจริง ลองคิดภาพดูว่า คนอายุ 72 ปี ป่วยหนัก นอนอยู่บนเตียง การที่จะให้นำท่านออกไปนอกวัด ใครจะรับผิดชอบ ?คณะลูกศิษย์ไม่ได้ต่อต้าน หรือทำให้กระบวนการทางกฎหมายชะงัก หรือสะดุดไป ขอเพียงว่าให้เข้ามาดูอาการของท่าน แล้วก็นำเข้าสู่กระบวนการที่ถูกต้อง