"สเปอร์ส" ไร้ "อัลลี่" เยือนเชลซี

หลังจากที่นัดแรกเคยเสมอกันมา 0-0 ในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน และแม้ว่าเชลซี ที่มี 47 แต้มจาก 34 นัดจะไม่มีลุ้นอะไรในลีกแล้ว แต่การที่ทั้งสองทีมอยู่ในเมืองเดียวกัน ทำให้เชลซีจะยังคงเล่นเต็มที่และหวังจะเอาชนะสเปอร์ส ให้ได้เป็นนัดแรกของฤดูกาลนี้

ในขณะที่สเปอร์ส มี 69 คะแนน จาก 35 นัด หากพวกเขาไม่ชนะในนัดนี้ก็ไล่จ่าฝูง เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่ทันแล้ว เพราะเลสเตอร์ มี 77 คะแนน จาก 36 นัด

กุส ฮิดดิงค์ กุนซือเชลซีจะได้ จอห์น เทอร์รี กองหลังกัปตันทีมที่เจ็บน่องจะฟิตกลับมาลงสนามได้ทันเช่นเดียวกับ แกรี เคฮิลล์ ที่จะหายป่วยกลับมา ทำให้ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จะกลับไปเล่นเป็นฟูลแบ็ก

แต่ตำแหน่งผู้รักษาประตูยังเป็น แอชเมียร์ เบโกวิช เนื่องจากติโบต์ กูร์กตัวส์ จะติดโทษแบนเป็นเกมสุดท้ายจากจำนวนสองนัด แดนกลางตัวรับมีตัวเลือกทั้ง มิเกล และเนมันยา มาติช ขณะที่แนวรุกถือว่าสมบูรณ์มีตัวเลือกทั้ง เชส ฟาเบรกาส, เปโดร โรดริเกซ, เอดอง อาซาร์ด และวิลเลียน เป็นตัวเลือกเพื่อทำเกมให้ ดิเอโก คอสตา หัวหอกตัวหลัก

ฝั่งสเปอร์ส ในแดนกลางที่จะไม่มี เดล อัลลี่ กองกลางตัวจอมทัพวัย 20 ปี ที่ติดโทษแบนจนจบฤดูกาลนี้ คาดว่า เมาริซิโอ โปเชตติโน จะส่ง นาเซอร์ ชาดลี หรือว่า ซน ฮึง- มิน ลงสนามมาแทน รวมทั้งยังต้องลุ้นทดสอบความฟิตของ เอริค ไดเยอร์ กองกลางตัวรับ หากฟิตไม่ทันจะเป็น ไรอัน เมสัน ที่ได้ลงแทนเนื่องจาก นาบิล เบนทาเลบ ยังเจ็บ ในตำแหน่งอื่นๆไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แยน แฟร์ทองเกน จะยังเป็นเซ็นเตอร์แบ็กร่วมกับ โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ และตำแหน่งหัวหอกจะยังเป็น แฮร์รี เคน ที่ยิงไป 13 ประตูจาก 14 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก

สถิติที่ผ่านมาเจ้าถิ่นไม่เคยแพ้ สเปอร์ส ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเองมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 1990 โดย 25 นัดนับตั้งแต่นั้นเจ้าบ้านเอาชนะได้ถึง 17 นัดและเสมอกันอีก 8 นัด และครั้งสุดท้ายที่เชลซี แพ้ในพรีเมียร์ลีกคาบ้านตัวเองต้องย้อนไปเมื่อปี 2011 ที่แพ้แมนฯซิตี แต่การไปเยือนของ สเปอร์ส เกมนี้พกสถิติแพ้เพียงนัดเดียวจาก 10 เกมในพรีเมียร์ลีกหลังสุด