วันนี้ (20 มี.ค.) พ.ต.อ.ภูวดิท ชนะคชภัทร์ รองผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา ได้แจ้งผ่านไลน์ของตำรวจแจ้งถึงสื่อมวลชน ว่าตามที่ตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รับคำสั่งจากผู้บังคัญชา ให้ท่าน ผบก. เป็นผู้ให้ข่าวซึ่งตนได้รายงานให้กับผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว ถ้าประสงค์จะลงข่าวให้สอบถามและผ่านผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฯโดยอมรับว่า ผู้กำกับการสภ.พระอินทร์ราชาไม่มีความแม่นยำด้านการสอบสวน ทำให้สังคมมองตำรวจในแง่ไม่ดี ซึ่งในฐานะประธานการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีเบนซ์ชนฟอร์ด มองว่ากรณีเสี่ยรถเบนซ์ขับชนท้ายรถฟอร์ดจนไฟไหม้รถมีคนตาย 2 ศพ จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว เป็นเหตุให้ความซวยมาตกที่พนักงานสอบสวน เหตุเพราะมีคนไม่เข้าใจบริบทในขั้นตอนการสอบสวนอย่างแท้จริง ตั้งแต่คนให้สัมภาษณ์จนถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง
ปัญหาส่วนหนึ่งมีสาเหตุเกิดจากผลพวงของยุบพนักงานสอบสวน เอาผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถ ไปนั่งเป็นผู้กำกับคอนโดฯ โดยไม่เกิดประโยชน์
พ.ต.อ.ภูวดิท ยังได้เขียนผ่านไลน์ชี้แจงสื่อมวลชนด้วย ว่า ได้ดูคลิปการสัมภาษณ์ระหว่างผู้สื่อข่าวโทรทัศน์กับผู้กำกับการสภ.พระอินทร์ราชา ซึ่งฟังอย่างละเอียด จับประเด็นการโต้ตอบ ระหว่างนักข่าว กับผู้กำกับ ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ไม่เข้าใจการสอบสวนคดีจราจรทางบก ไม่เข้าใจหลักการในการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำผิด ไม่เข้าใจหลักการรวบรวมพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ ประจักษ์พยาน ซึ่งโดยสรุปแล้วคงผ่านงานสอบสวนมาน้อยมาก
ข้อมูลที่ตอบนักข่าวจึงไม่ชัดเจนและขาดหลักกฎหมาย สรุปไม่แม่นในเรื่องของกฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายเกี่ยวกับพยานหลักฐาน
ดูเหมือนว่าตอนนี้ สังคมโจมตี พนักงานสอบสวนอย่างมาก ทั้งนี้เพราะเขาไม่เข้าใจหลักการ เรื่องของคดีจราจรทางบก ไม่เข้าใจหลักการ ในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐาน ให้เพียงพอ ก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ผู้กระทำความผิด คงเอาเรื่อง ข้อเท็จจริง ที่ปรากฏมาตัดสินว่า การทำงานของพนักงานสอบสวนล่าช้า และโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการตรวจเลือด เพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ ในกระแสเลือด ยิ่งเป็นประเด็นสำคัญมาก
เพราะในขณะที่อยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ขับขี่อยู่ในฐานะผู้ป่วยของแพทย์ อยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยจรรยาบรรณของแพทย์แล้ว เขาจะไม่เจาะเลือดผู้ป่วย เพื่อเอาไปตรวจ โดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอม ไม่ว่าจะเอาไปตรวจหาสารใดๆก็ตาม แม้กระทั่งในการแพทย์เขาก็ไม่สามารถละเมิดสิทธิ์ของผู้ป่วยได้
ทั้งนี้เพราะในขณะนั้น ผู้ขับขี่ ยังไม่ได้อยู่ในฐานะ เป็นผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน จนกว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว การดำเนินการใดๆ ก็ต้องเข้าใจหลักการ ในทางการแพทย์ด้วย แม้กระทั่งการสอบสวน ผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หากแพทย์ไม่อนุญาตให้สอบสวนปากคำได้ พนักงานสอบสวนก็ไม่สามารถจะเข้าไปสอบปากคำผู้ป่วยได้ ต้องเข้าใจหลักจรรยาบรรณของแพทย์ ซึ่งเขาจะต้อง ดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างดี และให้ผู้ป่วย มีสติสัมปชัญญะเพียงพอในการที่จัดลำดับเหตุการณ์ จดจำเหตุการณ์และให้การได้ดี
ทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์ พนักงานสอบสวนต้องฟัง และได้รับอนุญาต จากแพทย์ก่อนผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดี และถูกศาลลงโทษได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำให้การรับสารภาพ หรือปฏิเสธของผู้ต้องหา ส่วนใหญ่แล้วสังคมเข้าใจว่าต้องรีบสอบสวนผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาโดยต้องการให้สอบสวนผู้ต้องหาอย่างรวดเร็ว เพราะเข้าใจว่าการสอบสวนผู้ต้องหาอย่างรวดเร็ว สามารถทำให้ผู้ต้องหาติดคุกได้ คงเป็นความเข้าใจผิด และคลาดเคลื่อนอย่างมาก
หากแต่การดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาได้อยู่ที่พยานหลักฐาน จะต้องมีความชัดเจน แน่นหนา สามารถยืนยัน ว่าผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำความผิดได้ พนักงานสอบสวนจะต้องมุ่งประเด็นไปที การรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานประจักษ์ พยานวัตถุ พยานเอกสาร บริเวณสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของประจักษ์พยาน ในจุดดังกล่าวนี้ เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานให้มากที่สุด เพื่อจะบ่งชี้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิด
"นี่คือหลักการสำคัญในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาส่วนคำให้การผู้ต้องหา เขาสามารถจะให้การอย่างไรก็ได้รับสารภาพก็ได้ปฏิเสธก็ได้นั่นคือสิทธิของผู้ต้องหา เราไม่ต้องไปกังวลในประเด็นคำให้การของผู้ต้องหามาก..... แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิหรือการกระทำผิดของผู้ต้องหา คือ พยานหลักฐาน แต่สังคมโดยทั่วไปเข้าใจว่า คำให้การของผู้ต้องหาคือสิ่งที่วิเศษที่สุดในการดำเนินคดี ต้องสอบปากคำให้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก
หากพนักงานสอบสวนไม่รีบรวบรวมพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุ ให้มากที่สุด พยานหลักฐานจะถูกทำลาย เสื่อมสภาพไปตามสถานการณ์ต่างๆ ยิ่งสถานที่เกิดเหตุ อยู่บนถนนด้วยแล้ว ย่อมสูญหาย เสียหายไปอย่างรวดเร็ว การที่พนักงานสอบสวน มุ่งประเด็นไปที่การรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนมั่นคง จึงเป็นการทำงานของพนักงานสอบสวนที่ถูกต้องตามหลักการสอบสวนแล้ว และน่ายกย่องชมเชยเสียด้วยซ้ำ"
พ.ต.อ.ภูวดิท เขียนต่อว่า ส่วนคำให้การของผู้ต้องหา จะสอบสวนเมื่อเขาอยู่ในภาวะที่มีสติมั่นคงแล้ว เพราะพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้เขารับทราบก่อน ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเขา และเกิดขึ้นอย่างไร?เ กิดขึ้นที่ใด? หากผู้ต้องหายังไม่สามารถมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ที่จะรับทราบข้อเท็จจริงได้ พนักงานสอบสวนก็ยังไม่สามารถที่จะแจ้งข้อกล่าวหาได้
คลิป กนก-ธีระ ซัก ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา คดีเบนซ์พุ่งชนฟอร์ดhttp://www.nationtv.tv/main/program/khaokhon-nation/378494028/และการแจ้งข้อกล่าวหา โดยปราศจากข้อเท็จจริง ก็จะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเฉพาะบริบทการเกิดเหตุเป็นถนน ประจักษ์พยานใช้รถยนต์ในถนน ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก หากไม่รีบแสวงหาพยานหลักฐานจากประจักษ์พยานโดยเร่งด่วน พยานเหล่านั้น ย่อมจะไปที่อื่น เพราะเป็นเพียงคนผ่านมาในเส้นทางเท่านั้น พนักงานสอบสวนจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบ รวบรวมพยานหลักฐาน ประจักษ์พยานให้มากที่สุด
"เมื่อตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแล้ว สอบสวนพยานประจักษ์ ตรวจสอบพยานวัตถุ ซึ่งเป็นกล้องหน้ารถยนต์ ของประจักษ์พยานแล้ว พยานหลักฐานดังกล่าว สามารถรับฟังได้ว่า ผู้ขับขี่รถเบนซ์ เป็นฝ่ายกระทำประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ในฐานะผู้กล่าวหา ในคดีจราจรทางบก เป็นผู้ให้ถ้อยคำ กล่าวหา กับผู้ขับขี่รถเบนซ์คันดังกล่าว นี่คือหลักการในการสอบสวนคดีจราจรทางบก พนักงานสอบสวนจะเป็นทั้งผู้กล่าวหาและในขณะเดียวกันก็เป็นทั้งพนักงานสอบสวนด้วย
....การจะกล่าวหาผู้ใดโดยปราศจากพยานหลักฐาน จึงเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกแจ้งความกลับ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้.."
พ.ต.อ.ภูวดิท ระบุด้วยว่า การดูเพียงคลิปเหตุการณ์ ดูแล้วด่วนสรุปว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายกระทำผิด คงกระทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะหลักฐานต่างๆ จะต้องนำสู่สำนวนการสอบสวน อย่างเป็นระบบ(ไม่ใช่หลักฐานที่ลอยมาทางอากาศ) เพราะต้องใช้ในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาด้วย การสอบสวนพยานหลักฐานให้แน่นหนามั่นคง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการสอบสวนคดีอาญา ระยะเวลาในการสอบสวนรวบรวม พยานหลักฐานในคดีนี้ไม่ได้ล่าช้าเกินเหตุ
หากแต่สถานการณ์การเกิดเหตุ มีคนถ่ายคลิปจากกล้องหน้ารถไว้ได้ จึงทำให้สังคมสนใจ และติดตามสถานการณ์ คดีที่เกิดขึ้น ในสังคมปัจจุบันนี้สามารถตรวจสอบได้ ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนได้ หากแต่ต้องเข้าใจบริบทของการทำงานและให้เวลาการทำงานของพนักงานสอบสวนด้วย อย่าได้ด่วนสรุปว่าจะมีการกระทำในลักษณะที่ไม่ชอบ
"คงไม่มีพนักงานสอบสวนคนใด กล้ากระทำในสิ่งดังกล่าวแน่นอน เพราะเข้าใจดีว่า สังคมสมัยนี้ การตรวจสอบ ข้อมูลต่างๆ สามารถทำได้รวดเร็ว ส่วนประเด็นการตรวจเลือดนั้น เป็นเรื่องของความยินยอมของผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว หากไม่ยินยอมให้เจาะเลือด แพทย์ก็ไม่สามารถเจาะเลือดได้ ดังนั้น การตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดก็เป็นการแสวงหาพยานชิ้นหนึ่งเท่านั้น พยานดังกล่าวคือปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด เพื่อจะเอามาบ่งชี้ว่า ผู้ขับขี่รถเบนซ์เมาสุราขณะขับรถแต่การแสวงหาพยานชิ้นนี้ เป็นการแสวงหาพยานจากตัวผู้กระทำผิด จึงไม่ได้รับความร่วมมือ จากผู้กระทำผิด ซึ่งก็สรุปได้ว่าเท่ากับการปฏิเสธว่า ตนเองไม่ได้ขับรถในขณะเมาสุราเท่านั้น คงไม่มีผลถึงกลับทำให้รูปคดี ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเสียหาย เพราะพยานหลักฐานต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนรวบรวมไปได้ แน่นหนาเพียงพอที่จะใช้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้"
พ.ต.อ.ภูวดิท เขียนอีกว่า หลักการแสวงหาพยานหลักฐานจากตัวผู้กระทำผิดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะถูกขัดขวางและไม่ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากไปกว่าประจักษ์พยานขณะเกิดเหตุ ตรงนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะสามารถฟังลงโทษผู้กระทำความผิดได้
ตนไม่อยากให้สังคมหลงประเด็นในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด โดยเอาเพียงปริมาณแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในเลือดมาเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งในแนวคิดของตน เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยมากการไม่ได้ตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ก็คงไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง การมีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด ถ้าเกินปริมาณ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ก็สรุปผลว่าเมาสุรา
การสรุปว่าเมาสุรา มีผลอย่างไร? คงมีผลเพียงว่า ผู้ขับขี่รถเบนซ์หย่อนสมรรถนะในการขับขี่รถยนต์และอาจทำให้ความระมัดระวังในการขับขี่ลดลงไปด้วย อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าคนปกติทั่วไป..
"คดีนี้แม้จะขาดพยานบริบทแวดล้อม คือปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดของผู้ขับขี่รถ ว่ามีปริมาณเกินกว่า50มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์หรือไม่ หากเกินก็สันนิษฐานว่า ขับรถในขณะเมาสุรา คงรับฟังได้เท่านี้ แต่คงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปคดี ที่ตนเองขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งนี้เพราะมีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์และบันทึกภาพไว้ด้วยกล้องหน้ารถให้การเป็นพยานชั้นหนึ่งแล้ว สถานที่เกิดเหตุ ไม่ปรากฏร่องรอยการห้ามรถ ของผู้ขับขี่รถเบนซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าขับรถมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ไม่มีรอยห้ามล้อ
สภาพการชนที่รุนแรงอย่างมาก ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ บ่งบอกถึงการชนที่รุนแรง รถเบนซ์ต้องขับมาด้วยความเร็วสูงมากเกินกว่ากฎหมายกำหนด มีผู้เสียชีวิตทันทีอยู่ในรถเก๋งฟอร์ด 2คน แสดงถึงการชนที่รุนแรง และได้รับบาดเจ็บถึงแก่ความตายอย่างเฉียบพลันสถานที่เกิดเหตุไม่มีรอยห้ามล้อ แสดงถึงการขับรถในเขตชุมชน การจราจรพลุกพล่าน ไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ ประกอบด้วยบริบท พฤติการณ์ของผู้ขับขี่รถเบนซ์
เมื่อพนักงานสอบสวน แจ้งความประสงค์ขอให้แพทย์ เจาะเลือดเพื่อตรวจสอบ ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ขับขี่รถเบนซ์ อันแสดงให้เห็นพฤติการณ์ ของการพยายาม บ่ายเบี่ยง อันเป็นการเจือสมกับ พฤติการณ์ ในการกระทำผิดในประเด็นดังกล่าวข้างต้น"
พ.ต.อ.ภูวดิท ระบุว่า คดีนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมาย ผู้กระทำความผิดปรากฏตัวชัดเจน ไม่ได้หลบหนี หากการแจ้งข้อหามีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็สามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้แล้วการเร่งรัด เร่งรีบ ในการแจ้งข้อกล่าวหา กับผู้กระทำความผิด อาจเป็นประเด็นให้ผู้กระทำผิดยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ว่าเขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาในขณะยังอยู่ในอาการเจ็บป่วย ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ตรงนี้เป็นเรื่อง สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะผู้ต้องหาก็ไม่ธรรมดา
พนักงานสอบสวนก็ต้องใช้ความรอบครอบ รัดกุมในการสอบสวนชั้นเดียวกันสรุปประเด็นที่เป็นเหตุและขยายประเด็นต่อไปมาจากการให้สัมภาษณ์ของผู้กำกับการไม่ชัดเจนในสถานที่เกิดเหตุ บริบทโดยทั่วไปไม่ชัดเจนในเรื่องของการแสวงหาพยานหลักฐาน อะไรคือพยานหลักฐานชั้นที่1 อะไรคือ พยานบริบทแวดล้อมไม่เข้าใจการสอบสวนคดีจราจรทางบกอย่างถ่องแท้และสามารถตอบได้ทุกประเด็น
ไม่มีใครเขาให้สัมภาษณ์สดถ้าไม่แม่นในข้อกฎหมาย การสัมภาษณ์สดฆ่าตัวตาย ตกม้าตายมามากแล้วเขาจึงย้ำนักย้ำหนาอย่าสัมภาษณ์สดถ้าไม่แม่นกฎหมายทำให้พนักงานสอบสวน ซวยไปด้วย จึงขอส่งต่อไปได้ให้มวลชนได้รับรู้สภาพที่แท้จริงบ้าง พนักงานสอบสวนทำงานอย่างไรภายใต้ความกดดันอย่างไร