ดีเอสไอแถลงผลสอบเบนซ์หรู "สมเด็จช่วง" ผิดกฎหมาย 4 ขั้นตอน

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) - 18 ก.พ. 59 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนการนำเข้ารถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กทม. ซึ่งแจ้งจดทะเบียนเป็นรถจดประกอบ ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงอยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นคดีที่อยู่ในชั้นสืบสวนของดีเอสไอตั้งแต่ปี 2556 โดยผลการตรวจสอบพบว่ามีมูลกระทำผิดกฎหมาย 4 ขั้นตอน

1.การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ มีหจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์สเป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์และตัวถังจากประเทศสหรัฐฯเข้ามาประเทศไทย โดยมีข้อพิรุธว่าโครงรถยนต์ถูกส่งมาโดยเรือแวนฮาโมนี เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2553 ส่วนเครื่องยนต์ส่งมาทางเรือ เอ็น วาย เค อากัส (NYK ARGUS) เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2553 ซึ่งนำเข้าห่างกันเพียง 2 วัน โดยทั้งเครื่องยนต์และตัวถังมีตัวแทนของหจก.อ๊อด 89 ไปรับจากผู้นำเข้าทั้งสองราย
ส่วนอุปกรณ์ควบอื่นๆ เช่น ฝากระโปรง ไฟหน้า ไฟเลี้ยว เบาะ ประตู กันชน ไม่พบหลักฐานนำเข้า แต่มีหลักฐานว่าซื้อจากหจก. สายชลมอเตอร์ซึ่งตรวจสอบแล้วบ้านเลขที่ไม่มีปรากฏในสารบบทะเบียนราษฎร์ ไม่มีสถานประกอบการจริงและไม่มีข้อมูลในสารบบของกรมธุรกิจการค้า บ่งชี้ว่ามีการทำเอกสารปลอม เพื่อให้เข้าใจว่าอุปกรณ์และส่วนควบ มีการซื้อจากผู้ประกอบการในประเทศ จึงอาจเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 27 ฐานพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ส่วนผู้ครอบครองอาจมีความผิดตามพ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 27ทวิ ฐานรับไว้ซึ่งของที่รู้ว่านำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากร ซึ่งดีเอสไอจะมีหนังสือแจ้งให้อธิบดีกรมศุลกากรดำเนินการตามกฎหมาย

ขั้นตอนที่ 2 การจดประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์พบหลักฐานว่าหจก. อ๊อด 89 ได้ร่วมกับอู่วิชาญ (นายวิชาญ รัษฐปานะ) เป็นผู้ประกอบรถยนต์จากเครื่องยนต์และตัวถัง พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบโดยเป็นไปตามการสั่งซื้อของพระมหาศาสนมุนี (ธนกิจ ศรีอุ่นเรือน) หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ในราคา 4 ล้านบาท โดยหจก.อ๊อด รับเงินไป 2.5 ล้านบาท ส่วนอู่วิชาญได้รับเงินค่าประกอบ 1.5 ล้านบาท ซึ่งขั้นตอนนี้พบความผิดประกอบรถโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบอุตสาหกรรม ไม่มีวิศวกรตรวจสอบ แต่มีการปลอมเอกสารโดยใช้ชื่ออู่ N.P. การาจ ไปใช้ยื่นชำระภาษีสรรพสามิตในขั้นนี้มีความผิดตามพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต มาตรา 25 และมาตรา 162 (1) ฐานขายหรือมีไว้ซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ 3 การชำระภาษีสรรพสามิต พบหลักฐานว่านายชลัช นิติฐิติวงษ์ เป็นผู้ดำเนินการนำเอกสารชุดประกอบรถยนต์ไปชำระภาษีสรรพสามิตโดยปลอมลายมือชื่อนางกาญจนา มากเหมือน เจ้าของอู่ N.P. การาจ โดยในชั้นสืบสวนอู่ N.P. การาจ เป็นเพียงอู่ซ่อมสี ไม่มีความสามารถในการประกอบรถคลาสสิคแต่ถูกปลอมเอกสารเพื่อนำไปใช้ในขั้นตอนของการจดประกอบรถ จึงมีความผิดอาญาฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จกับเจ้าพนักงาน ปลอมและใช้เอกสารปลอมและมีความผิดตามพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนการจดทะเบียน กับกรมการขนส่งทางบก พบหลักฐานว่านายชลัช ได้ว่าจ้างนายสมนึก บุญประไพ นำรถยนต์ไปยื่นขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกโดยใช้เอกสารปลอมที่ใช้ยื่นกับกรมสรรพสามิต และยังกรอกข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจดทะเบียน เพื่อแสดงให้เห็นว่า N.P.การาจ โดยนางกาญจนาเป็นผู้ขายรถยนต์ ต่อให้กับพระผู้ใหญ่และปลอมใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีของหจก.เอส ที วาย ออโต้ พาร์ทเพื่อให้เจ้าหน้าที่หลงผิดว่าหจก.เอส ที วายฯ เป็นผู้รับจ้างประกอบรถยนต์ พฤติกรรมดังกล่าว ชี้ว่ารถยนต์คันนี้มีปัญหาตั้งแต่กระบวนการนำเข้า จดประกอบ ใช้เอกสารปลอมเพื่อชำระภาษีสรรพสามิต และจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งนายสมนึก ยอมรับว่ามีการปลอมใบเสร็จ สำแดงราคาเพียง 1 ล้านบาท ขณะที่ราคาอะไหล่และค่าว่าจ้างให้ประกอบรถมีราคารวม 4 ล้านบาท ส่วนลายมือชื่อของสมเด็จช่วงซึ่งใช้ในการแจ้งจดทะเบียนเป็นผู้ครอบครองรถถูกเซ็นโอนลอยไว้ก่อนแล้ว โดยดีเอสไอจะต้องเรียกสมเด็จช่วงและผู้เกี่ยวข้องมาสอบปากคำว่าเป็นเจ้าของลายเซ็นจริงหรือไม่

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวต่อว่า ในชั้นนี้ดีเอสไอพบว่ากระบวนการนำเข้าผิดกฎหมายหลายฉบับทั้งคดีอาญา และการหลีกเลี่ยงภาษีหลายขั้นตอน แต่ยังไม่สรุปว่าสมเด็จช่วง ต้องร่วมรับผิดในขั้นตอนใดหรือไม่ขอเวลาสอบสวนอีก 2-3 เดือน ก็จะได้ข้อสรุป ส่วนหลวงพี่แป๊ะ ได้เข้าให้การในชั้นสืบสวนยอมรับว่าได้ซื้อรถคันดังกล่าวถวายให้สมเด็จช่วง หลังจากนี้จึงต้องสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงว่าถวายเพื่อวัตถุประสงค์ใด ส่วนประเด็นหลวงพี่แป๊ะให้การยอมรับกับพนักงานสอบสวนว่าเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับสมเด็จช่วงจะสามารถตัดตอนความผิดไว้เองได้หรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอขอเวลาสอบสวนซึ่งต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าความจริงเป็นอย่างไร สำหรับนายสมนึกจากการตรวจสอบไม่พบความเกี่ยวข้องกับวัดปากน้ำฯ แต่เป็นผู้มีอาชีพรับจ้างจดทะเบียนรถ โดยนำเอกสารที่มีลายเซ็นของสมเด็จช่วงไปดำเนินการจดทะเบียน เบื้องต้นยืนยันเพียงว่ารถคันนี้ผิดกฎหมาย ไม่ว่าชื่อผู้ครอบครองจะเป็นบุคคลใดก็เป็นรถผิดกฎหมาย

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถคลาสสิค เมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่น 300 บี ผลิตจากประเทศเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ. 1953 มีอายุ 60 ปี ผลิตออกมาเพียง 100 คัน จึงจัดอยู่ในประเภทรถคลาสสิคทรงสวยงาม มีไว้เพื่อสะสม ราคา 10-20 ล้านบาท รถคันดังกล่าวได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้สลับเลขทะเบียนขม. 0099 กทม. เป็นทะเบียน งค. 1560 กทม. จากนั้นได้แจ้งหยุดการใช้รถเพื่อนำไปใช้แสดงในพิพิธภัณฑ์เมื่อปี 2556

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวว่า ในชั้นสืบสวนพบว่าขบวนการนำเข้ารถคลาสสิคเพื่อนำมาแจ้งจดประกอบเลี่ยงภาษีเป็นขบวนการใหญ่ และมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งรวมกรณีรถคันดังกล่าวที่พบว่ามีการทำเป็นขบวนการซึ่งพบพฤติกรรมลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายคัน ส่วนใหญ่เป็นรถราคาแพง

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงทั้งหมดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและจดประกอบรถคันดังกล่าวต้องถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 10 ข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร , ร่วมกันซ่อนเร้น จำหน่าย เอาไปเสีย ซื้อหรือรับไว้โดยประการใด ทั้งที่รู้ว่าเป็นของที่นำเข้าในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร, ร่วมกันขายหรือมีไว้เพื่อขายสินค้า ซึ่งรู้ว่ามิได้เสียภาษี , ครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน , แจ้งข้อความเป็นเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ นำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง , ร่วมกันทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน , ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ , ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ์และใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ศุลกากร , พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร , พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ,พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267 , 264 ,265 และ 268

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ หรือ พระธนกิจ สุภาโว (ศรีอุ่นเรือน) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และเป็นเลขานุการ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ โดยได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ จากพระครูพิทักษ์ วรานุรักษ์ ในเดือนธันวาคม ปี 2554 ภายหลังรถเบนซ์ดังกล่าวจดทะเบียนเมื่อเดือนก.ค. ปี 2554