ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. นายกวินกาญ ศรีฤาชา อายุ 32 ปี คนขับรถโตโยต้า ยาริส สีแดง คู่กรณี ได้เดินทางมาเพื่อให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม และรอดูกล้องวงจรปิด พร้อมกับให้สัมภาษณ์ว่า วันเกิดเหตุประมาณ 10.00 น. ตนขับรถมาอยู่ในเลนเตรียมเลี้ยวเข้าถนนมิตรไมตรี ซึ่งเป็นจังหวะที่รถของนายภัทรศักดิ์ขับปาดเข้ามาด้านหน้าโดยไม่เปิดสัญญาณไฟขอทาง ซึ่งตนก็ยอมให้เข้า แต่จังหวะที่ขับตามกัน รถของตนหลุดออกจากเลนเลี้ยวเข้าถนนมิตรไมตรี จึงเปิดสัญญาณไฟเพื่อกลับเข้าเลนเดิม โดยรถของตนไปประชิดกับรถของนายภัทรศักดิ์ ทำให้นายภัทรศักดิ์ ไม่พอใจชูนิ้วกลางให้ ด้วยความโกรธ ตนจึงลงจากรถไปเคาะกระจกรถของนายภัทรศักดิ์ อย่างแรง 1 ครั้ง จากนั้นก็เดินกลับมาขึ้นรถ ต่อมานายภัทรศักดิ์ ได้ขยับรถไปด้านหน้า และถอยหลังอย่างแรงมาชนรถตนเอง 2 ครั้ง ตามที่ปรากฏในคลิป
หลังจากถูกชน ตนจึงลงจากรถ ตั้งใจจะคุยกับนายภัทรศักดิ์ เพื่อเคลียร์และให้ชดใช้ค่าเสียหาย แต่นายภัทรศักดิ์ ลงจากรถ พร้อมถือประแจ และพูดจาไม่ดีใส่ตน แต่ตนก็ยอมรับว่า ตัวเองก็มีส่วนผิดด้วย ที่มีอารมณ์โมโห และเป็นส่วนหนึ่งให้เรื่องบานปลาย ซึ่งอยากให้เรื่องจบ ขอเพียงให้นายภัทรศักดิ์รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถเท่านั้น
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 ได้เดินทางมาร่วมสอบปากคำให้การบุคคลทั้งสอง โดยใช้เวลาสอบคำให้การระหว่างนายภัทรศักดิ์ และนายกวินกาญ ประมาณ 3 ชั่วโมง
ภายหลังการสอบปากคำ พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ กล่าว ว่าหลังจากเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ว่าก่อนเกิดเหตุรถถอยชนกันมีที่มาได้อย่างไร ซึ่งจากภาพวงจรปิดจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณดังกล่าว เนื่องจากรถติดมาก จากพยานหลักฐานภาพวงจรปิด ทำให้ตำรวจแจ้งข้อหากับทั้ง 2 ฝ่าย โดยนายกวินกาญจน์ มีความผิดข้อหาแซงในที่คับขัน มีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 400 ถึง 1,000 บาท ซึ่งนายกวินกาญจน์ ยอมให้ปรับในอัตราโทษสูงสุดคือ 1,000 บาท ส่วนนายภัทรศักดิ์ ตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา คือ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาพยายามทำร้ายร่างกายไม่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจ อัตราโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนข้อหาพยายามฆ่านั้นจากการสอบปากคำผู้ชำนาญการแล้วให้การว่าการชนในลักษณะนี้ไม่สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตกับคนที่นั่งอยู่ในรถเพราะแรงส่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ถุงลมนิรภัยทำงาน เลยไม่อันตรายถึงชีวิต จึงดำเนินคดีเรื่องพยามฆ่าไม่ได้ ขณะที่ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ทางนายกวินกาญจน์ ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ ไม่เอาความ แต่นายภัทรศักดิ์ ต้องถูกยึดใบขับขี่เป็นเวลา 60 วัน ตามกฎหมาย
พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการขับรถที่ไม่มีใครยอมใคร ไม่ให้ทางกัน จึงฝากเตือนไปยังผู้ขับขี่ใช้รถใช้ถนน ให้มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทางและอย่าใช้อารมณ์มาตัดสิน เพราะหากมีอาวุธก็อาจจะนำไปสู่ความสูญเสียมากกว่านี้ได้
ด้านนายภัทรศักดิ์ กล่าวว่า ต่อไปนี้จะพยายามระงับอารมณ์ในขณะขับรถ พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมา เคยเกิดเหตุการณ์เฉี่ยวชนกับรถคันอื่นมาแล้วหลายครั้งจริง ตามที่มีภาพปรากฏในสังคมออนไลน์ แต่ยืนยันว่า ขับรถถูกต้องตามกฎหมายทุกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายการพูดคุย เพื่อเคลียร์เรื่องราวที่เกิดขึ้น นายกวินกาญจน์และนายภัทรศักดิ์ ได้จับมือกัน เพื่อยุติความบาดหมางที่เกิดขึ้น ต่อหน้าตำรวจและสื่อมวลชน ก่อนที่ตำรวจจะสรุปสำนวนของทั้งคู่ เพื่อส่งฟ้องต่อศาลต่อไป
- ผบ.เรือนจำกรุงเทพ แจงขั้นตอนดูแล 8 แกนนำกปปส.-ให้พักรวมห้องเดียวกันลดความเครียด
- ระทึก! ดาราหนุ่ม "ก้อง วุฒิเมศร์" ซิ่งเก๋งตกข้างทาง ไฟลุกท่วม
- ม็อบตั๋วช้าง ย้ำจุดยืน 'ปล่อย 4 แกนนำ 3 ข้อเรียกร้อง' ก่อนประกาศยุติชุมนุม