ข้อมูลของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติหรือ UNDP ระบุว่า ขณะนี้ตุรกีเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ลี้ภัยมากที่สุดในโลกราว 2 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวซีเรียและอิรักที่หนีภัยก่อการร้ายของกลุ่มไอเอสซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว
ตัวแทนผู้อพยพ 13,000 คนในค่ายออนคูพินาร์ในเมืองคิลิสติดกับชายแดนประเทศซีเรีย กล่าวว่า พวกเขายังไม่มีแผนเดินทางกลับซีเรียในอนาคตอันใกล้นี้หากสถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ความสงบ หรือบางคนก็ไม่อยากกลับไปเลยด้วยซ้ำ ขณะที่ภายในค่ายก็มีการพัฒนาพื้นที่เป็นทั้งร้านทำผม ตลาดขายของ ไปจนถึงร้านขายกาแฟเล็กๆ
ขณะที่ศูนย์ชุมชนมาลูมัตในเมืองกาเซียนเท็ปที่อยู่ใกล้กันซึ่งมีผู้อพยพชาวซีเรียประมาณ 4 แสนคนก็มีความพยายามช่วยชาวซีเรียปรับตัวด้วยการให้คำแนะนำ และสอนภาษาอาหรับ ตุรกี และภาษาอังกฤษให้ อย่างไรก็ตามปรากฎว่าตอนนี้ค่าเช่าที่และราคาอาหารได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการแย่งชิงกันระหว่างคนในท้องถิ่นและผู้อพยพ
เซอร์ฮาน อเล็มดาร์ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการในท้องถิ่นระบุว่า ความกังวลหลักตอนนี้คืออนาคตของผู้อพยพ พวกเขาไม่มีทัศนคติในระยะยาว ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งเข้าไปสนับสนุนผู้อพยพที่อายุระหว่าง 17-24 ปีอย่างเร่งด่วน
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เฮเลน คลาร์ก ประธานของ UNDP เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤตผู้ลี้ภัยทั่วโลกกำลังย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนโดยเฉพาะที่ซีเรีย คาดการณ์ว่าในปีนี้อาจมีชาวซีเรียอพยพออกมาเพิ่มเติมอีกกว่า 8 แสนคน และเพิ่มจำนวนผู้อพยพในตุรกีให้กลายเป็น 2 ล้าน 5 แสนคน