นางออง ซาน ซู จี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ของเมียนมาร์ ได้เดินทางไปเยือนสุสานสงครามในเมืองตันบูซายัต ในรัฐมอญ ซึ่งเป็นที่ฝังศพของกองกำลังพันธมิตร 3,771 คน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้เสียชีวิตในระหว่างการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะ เชื่อมจากไทยไปเมียนมาร์ เพื่อใช้ขนส่งอาวุธของกองทัพญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่เริ่มมีการตั้งคำถามอีกครั้ง ถึงท่าทีที่นิ่งเฉยของนางซูจี ต่อปัญหาที่เกิดกับผู้อพยพชาวโรฮิงญา ที่เคยอาศัยอยู่ในเมียนมาร์ และในช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ เมื่อสามปีที่แล้ว ที่มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนและไร้ที่อยู่อาศัยหลายหมื่นคน นางซู จี ก็ยังสงวนท่าทีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ทำให้เธอถูกวิจารณ์ว่า เพิกเฉยต่อความขัดแย้งทางเชื้อชาติและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเมียนมาร์ก็เพราะเหตุผลทางการเมือง
ด้านผู้รอดชีวิตที่ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากเรือที่กำลังจม ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวของ BBC ว่า มีผู้อพยพราว 100 คน เสียชีวิตเพราะต่อสู้แย่งชิงอาหารมื้อสุดท้ายกัน โดยชาย 3 คน ได้เล่าเหตุการณ์ตรงกันว่า ผู้อพยพได้ต่อสู้แย่งชิงอาหารกัน ถึงขั้นแทงกัน, จับแขวนคอ หรือไม่จับโยนลงทะเล
ผู้อพยพ 700 คน ที่มาจากเมียนมาร์และบังคลาเทศ บอกว่า พวกเขาต้องการไปขึ้นฝั่งที่มาเลเซีย แต่ถูกกองทัพเรือมาเลเซียผลักดันออกมา และได้รับการช่วยเหลือจากเรือประมงอินโดนีเซีย ก่อนจะได้ที่พักพิงที่เมืองลางซา จังหวัดอาเจะห์ ซึ่งในจำนวนนี้ มีหลายคนอยู่ในสภาพขาดอาหารและน้ำอย่างรุนแรง หลังจากรอนแรมอยู่ในทะเลนานถึง 2 เดือน และถูกลูกเรือทิ้ง
รัฐบาลเมียนมาร์ ยังคงยืนกรานว่า ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบต่อวิกฤติผู้อพยพทางเรือ และจะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเพื่อแก้ไขวิกฤตผู้อพยพที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนนี้ ขณะที่นายอานิฟาห อามาน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวหลังจากหารือก้บนายอาบุล ฮัสซัน มามู้ด อาลี รัฐมนตรีต่างประเทศบังคลาเทศว่า เขาหวังว่าจะได้หารือประเด็นวิกฤตินี้กับเมียนมาร์ ก่อนที่มันจะถูกหยิบยกไปอยู่ในระดับนานาชาติ