นายสกล ที่กำลังจะเปลี่ยนฉายาจาก "รองเสือ" เป็น "บิ๊กเสือ" ผู้นำค่ายหัวหมากคนใหม่ กล่าวเปิดใจว่า รู้สึกดีใจ แต่อยากใช้คำว่ายินดีมากกว่า อันดับแรกเลยคือยินดีที่คนในได้ผ่านการคัดสรรขึ้นเป็นผู้ว่าการฯ แม้การคัดสรรจะมีปัญหาบ้างจนต้องเสียเวลาไปกว่า 11 เดือนก็ตาม ที่ผ่านมากว่า 13-15 ปี ตั้งแต่มีการคัดสรรยั งไม่เคยมีคนในของ กกท.ก้าวขึ้นไปเป็นผู้ว่าการฯได้เลยจึงรู้สึกดีใจที่คนในสามารถเป็นผู้ว่าการฯ ได้
"การที่คนใน กกท. ได้เป็นผู้ว่าการฯ ก็เหมือนกับได้บริหารบ้านตัวเอง ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้คนรุ่นหลังได้ดูว่าคนในกกท.ก็มีศักยภาพและทุกคนจะได้มีความกล้าที่จะก้าวออกมาตรงจุดนี้ต่อไป" นายสกล กล่าว
ว่าที่บิ๊กค่ายหัวหมากคนใหม่ กล่าวต่อว่า ความยินดีประการที่สองคือการได้เคลียร์ตัวเองจากข้อหากล่าวหาในเรื่องวินัยและจริยธรรมที่ถูกตั้งกรรมการสอบ ถือเป็นการเคลียร์ตัวเองและวงษ์ตระกูล เพื่อนฝูง และสถาบันที่ร่ำเรียนมาให้รู้ว่าที่ผ่านมาเราไม่ใช่คนที่ทำผิดหรือไม่ดีอย่างที่ถูกกล่าวหา
ก่อนหน้านี้ มีรายงานระบุว่า นายสกล ได้รับการสรรหาให้เป็นผู้ว่าการ กกท. คนใหม่ แต่ยังไม่สามารถทำการแต่งตั้งได้ เนื่องจากเจ้าตัวถูกตั้งกรรมการสอบสวนจริยธรรม ทำให้คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ได้แต่งตั้ง นายมนตรี ไชยพันธุ์ ขึ้นรักษาการณ์ กระทั่งมีการเสนอ ครม. เพื่อแต่งตั้งนายสกลให้ขึ้นรับตำแหน่งดังกล่าว
"สำหรับนโยบายการทำงานเมื่อได้รับการทำสัญญาจ้างเรียบร้อยแล้วจะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง เพราะผมต้องทำโครงการเสนอให้ บอร์ดกกท. ภายในระยะเวลา 1 เดือน ก่อนที่จะทำงานตามโครงการต่างๆเพื่อให้ประเมินผลงานในเวลา 6 เดือน เมื่อเข้ามาทำงานแล้วต้องทำให้ได้ คือพัฒนากีฬาชาติให้ได้ หรือถ้าไม่ได้ก็ใกล้เคียง ตอนนี้มีหลายโครงการที่คิดไว้และตั้งใจจะทำ" นายสกล กล่าวปิดท้าย