svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สัมภาษณ์พิเศษ "วิชา มหาคุณ" มือปราบคดีจำนำข้าว

30 มกราคม 2558
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"เขารู้อยู่แล้วว่า ผมเป็นคนยังไง" : วิชา มหาคุณ

ในฐานะมือวางระดับหัวแถวในการปราบคอร์รัปชั่น ที่ต้องรับบทหนักหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดในคดีถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับอดีตนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร " ในคดีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริต ที่เขาเข้าไปรับผิดชอบ ก็นับว่าหนักหนาสาหัสที่สุดนับแต่ทำคดีมา ตั้งแต่การไต่สวนที่ต้องเจอภัยคุกคามตลอด ไปจนถึงการแถลงคดีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ก็ทำให้หลายคนลุ้นว่ามือวางรายนี้จะจอดก่อนถึงป้ายหรือไม่แต่แล้วก็ลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งในวันที่เขาให้สัมภาษณ์กับ "เครือเนชั่น".. ถึงรู้ว่าเรื่องแค่นี้คงทำอะไรคนชื่อ "วิชา มหาคุณ" ไม่ได้แน่- หลังเสร็จจากคดีถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์และคดีอาญาจำนำข้าวชีวิตผ่อนคลายเข้าสู่โหมดปกติแค่ไหน
สบายๆ รู้สึกโล่งอก ไม่มีอะไรรบกวน และต้องยกย่องทีมงานว่าเก่งมาก ต้องยอมรับเลยถ้าไม่ได้ทีมงานแบบนี้ทำไม่สำเร็จ เรียกว่าขึ้นถึงมืออาชีพแล้ว
- สังเกตไหมว่าทำไมถึงได้รับผิดชอบ คดีที่เกี่ยวกับผู้มีอำนาจเป็นประจำ
ที่ได้รับผิดชอบเพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นตรงกัน แต่เดิมคดีจำนำข้าวมีคุณกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานอนุกรรมการ ผมก็เป็นหนึ่งในอนุกรรมการ พอคุณกล้านรงค์พ้นวาระ ผมซึ่งอาวุโสสุดก็ต้องขึ้นมาทำต่อ นึกว่าคุณกล้านรงค์ คงให้คนอื่นมาทำแทน แต่บังเอิญเป็นผม จะเรียกว่าโชคชะตาหรือเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะ)
- เบื้องหลังในการทำคดีคุณยิ่งลักษณ์ทั้งคดีถอดถอนและคดีอาญา ทำงานกันอย่างไร
ความจริงมีการร้องเรียนคุณยิ่งลักษณ์มาแต่แรก แต่ภาพยังไม่ชัดเจน เพราะเรื่องนโยบายเป็นอำนาจรัฐบาล ความเสียหายเกิดขึ้นอย่างไรมันยังเบลอๆ เลยต้องจับคดีคุณบุญทรง (ระบายข้าวจีทูจี) ก่อน การมองว่าคุณยิ่งลักษณ์ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ต้องดูความเสียหายเป็นหลัก ทีมงานก็ได้ลงพื้นที่ไปดูว่าการซื้อขายข้าวของโรงสีถูกต้องไหม ข้อมูลจากบริษัทค้าข้าวก็เข้ามาเรื่อย ที่ผิดปกติ คือ เช็คสั่งจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นพันฉบับ ถ้าเป็นจีทูจีจริงการสั่งจ่ายต้องเปิดบัญชีที่เป็นข้อตกลงระหว่างบริษัทตัวแทนรัฐบาลต่างชาติกับรัฐบาลไทย และการที่องค์การคลังสินค้า (อคส.)ไม่ยอมให้ตรวจข้าวก็ยิ่งผิดปกติ
แล้วยังได้ข้อมูลจากผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้อมูลก็ตรงกันถึงรู้ว่าไม่ใช่ "จีทูจี" และที่จุดประกาย คือ อาจารย์เมธี ครองแก้ว และทีมงาน รวมถึง อาจารย์จากธรรมศาสตร์, นิด้า และอาจารย์นิพนธ์ จากทีดีอาร์ไอ ได้คุยกันและฟันธงแต่แรกว่ารัฐผูกขาดทั้งหมด ถ้าปล่อยแบบนี้กระบวนการค้าข้าวจะพินาศแน่
- ถือว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ ที่คดีจำนำข้าว สนช.ได้ถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ ส่วนคดีอาญา อัยการสูงสุดก็สั่งฟ้อง
จะเรียกว่าสำเร็จในขั้นตอนหนึ่ง มันประจวบเหมาะลงล็อกพอดี อาจเพราะเราทำกันอย่างดี ละเอียดถี่ถ้วน แทบหาช่วงโหว่ยาก ตอนที่นั่งเป็นประธานคณะอนุฯไต่สวนเรื่องนี้ ข้อมูลมันไหลเข้ามามากจากคนที่ไม่รู้จัก ก็ติดต่อมาบอกถึงเบื้องลึกต่างๆ เพราะทนไม่ไหว เขาไม่สามารถส่งข้าวออกได้เพราะข้าวอยู่ในมือผู้มีอำนาจหมด ก็ขอให้เราช่วย ก็บอกเขาว่าต้องให้ข้อมูลเราทั้งหมดว่าใครเป็นตัวการ
- ระหว่างทำคดีจำนำข้าวก็นับว่าหนักหนาเอาการ
เห็นอยู่แล้วว่าสำนักงานถูกปิดล้อม ขว้างปาสิ่งสกปรก ถูกยิงด้วยลูกระเบิด กรรมการป.ป.ช.ก็ต้องหลบ หรือย้ายไปทำงานที่นั่นที่นี่บ้าง ต้องเปลี่ยนรถตลอด วันหนึ่งๆไม่รู้กี่คัน ซึ่งทุกวันนี้ก็ต้องระวัง แต่ไม่ถึงขนาดก่อนหน้านี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นท่านนายกฯตู่ดูแลไม่ดี เพราะท่านบอกว่าเก็บอาวุธหมดแล้ว
- จัดการกับภาวะตรงนั้นอย่างไร ทั้งคดีก็ต้องเดินหน้า แถมยังถูกคุกคามอีก
บอกคนดูแลสำนวนว่า อย่าเอาสำนวนไว้ที่สำนักงาน ป.ป.ช. เพราะกลัวจะถูกเผา หรือยิงลูกระเบิดมาแล้วไฟไหม้ก็ไปหมด สำนวนอยู่ที่ไหนก็บอกใครไม่ได้ ต้องระวังที่สุด ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการที่ใช้ดูแลสำนวนให้ดีที่สุด
- มีวิธีให้กำลังใจหรือจูงใจทีมงานอย่างไร เพราะขนาดตัวเองยังถูกคุกคามขนาดนี้
ผมว่าอยู่ที่ "หัวเรือ" ถ้าเรานิ่งก็จะบอกเขาได้ว่าวันนี้ต้องทำอะไร มีอะไรต้องระวังเป็นลำดับ เขาก็จะไว้วางใจเราไม่ตื่นกลัว ผมไม่เคยเห็นพวกเขาตื่นกลัวเลย ก็ต้องคอยดูแล โดยเฉพาะทีมงานฝ่ายข่าว มีการฝังตัวในพื้นที่ของกลุ่มที่มีปัญหาด้วย จึงรู้ความเคลื่อนไหวตลอดและมีกองกำลังของเราเอง มีการอ่านภาพถ่ายดาวเทียมทางอากาศ จึงรู้หมดว่ากลุ่มไหนจะเข้ามา หรืออยู่ในจุดไหน
- มั่นใจในความปลอดภัยถึงขนาดไม่ต้องมีบอร์ดี้การ์ด
มีบ้างทั้งทหาร ตำรวจ ที่ส่งมา แต่เขาจะมีวิธีฝังตัวในแต่ละจุด ไม่ได้เดินตาม เป็นแบบเดียวกับต่างประเทศ
- เรียกว่าคดีคุณยิ่งลักษณ์ถือว่าหนักที่สุดหรือไม่
ในเรื่องความปลอดภัยถือว่าหนักที่สุด แม้แต่ "คุณยิ่งลักษณ์ "เอง ก็ขอไม่มาตรวจสำนวน พยานหลักฐานเอง ให้ทนายมาแทน เพราะตอนนั้นมีการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส.ซึ่งตามระเบียบถือว่าไม่ได้ แต่ก็ต้องยอม และบอกไปว่าอย่ามาคุกคามเรา ไม่อย่างนั้นจะตัดไม่ยอมให้ตรวจสำนวน
- เคยมีสายตรงจากฝั่งคุณทักษิณหรือรัฐบาลก่อน มาบ้างหรือไม่
ไม่มี "เขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนยังไง" อยู่ในกรรมการป.ป.ช.มาเกือบ 9 ปี เขาต้องรู้
- ดูเหมือนคุณตกเป็นเป้าของฝ่ายตรงข้ามมากกว่าคนอื่น
เพราะว่าผมรับผิดชอบโดยตรง เป็นหัวหน้าทีม เป็นประธานอนุฯไต่สวน ก็เลยเป็นเป้าหลัก ไม่ใช่เพราะเราชื่อวิชา พอต้องทำคดีใหญ่มันก็หนีไม่พ้น ถ้าใครเป็นผมคงอยากจะออกไปแล้ว ซึ่งใจผมไม่เคยคิดถอนตัวหรือถอย แต่ครอบครัวคนที่อยู่รอบข้างเราก็ต้องเป็นห่วง ต้องพยายามให้โทนของคดีมีความผ่อนคลาย ถ้าเกิดให้ข่าวจะเล่นงานเขาตลอดเวลา สถานการณ์อย่างนี้คงผ่านไปไม่ได้ เท่ากับเรากลายเป็นศัตรูเขาโดยตรง ซึ่งเราแค่ทำหน้าที่
- เทคนิคที่จำเป็นสำหรับการทำคดีทุจริตอยู่ตรงไหน
คดีพวกนี้ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ต้องไม่เหนื่อยหน่าย ต้องไม่รู้สึกว่ามันยืดเยื้อเมื่อไหร่จะจบเสียที แล้วไปบีบให้จบ ต้องอดทนรอคอย ต้องรู้จักใช้วิธีจูงใจพูดคุยกับพยานเพื่อจะได้สาวถึงคนอื่นๆ และต้องไม่บีบบังคับโดยพยานไม่เต็มใจ เพราะคดีทุจริตเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ เป็นใครก็กลัว ให้ข้อมูลเราแล้วจะปลอดภัยหรือเปล่า นักไต่สวนจึงต้องมีจิตวิทยาที่สูงมาก
- มีคนมองว่าบุคคลิกของคุณ เป็นคนจำพวกยอมหักไม่ยอมงอ
ด้วยความที่เคยเป็นตุลาการมา 40 กว่าปี ทำคดีมาสารพัด ตัดสินประหารชีวิตก็มีมาแล้ว จึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะชี้มูลหรือวินิจฉัยให้ผิดหรือถูก เราถูกหล่อหล่อมมาในระบบของบรรพตุลาการว่า ผิดก็เป็นผิดถูกก็เป็นถูก ปราศจากอคติ ไม่ลำเอียงเพราะความรัก ความกลัว ความโกรธ ความหลง นี่เราชินกับมัน
- บุคลิกแบบนี้เป็นในชีวิตปกติด้วยหรือไม่
ต้องมองว่าอะไรคือภาระหน้าที่ อย่าไปมองว่าต้องให้ความยุติธรรม 24 ชม.คงไม่ใช่ (หัวเราะ) ชีวิตปกติของผมที่ไม่เกี่ยวกับงานก็สบายๆ ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ผมอ่านหนังสือ เขียนบทกวี วาดภาพ ดูหนัง ฟังเพลง ดูฟุตบอล ความจริงผมน่าจะเป็นนักอักษรศาสตร์หรือจิตกร น่ะ
- เคยแต่งบทกวีหรืออะไรที่เกี่ยวกับการจำนำข้าวหรือไม่
จำนำข้าวไม่เคย เอาไว้จบงานเสียก่อนอาจจะเขียนเป็นบทเรียนของการไต่สวน ชีวิตหนึ่งตั้งใจจะบันทึกถึงการทำงานที่อยู่ใน ป.ป.ช.
- สมัยเด็กเคยเจอกับเรื่องไม่เป็นธรรมมาด้วยตัวเองหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้มาทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรม
มันเหมือนอยู่ในสายเลือดมากกว่า ตอนอยู่ในครอบครัวผมมักเถียงผู้ใหญ่ คุณแม่ก็บอกว่าเถียงมากๆแบบนี้ต้องไปเรียนกฏหมาย ต้องใช้เหตุใช้ผล แล้วยังเป็นตุลาการของสภานักเรียนครูให้ผมชี้เลยว่าเด็กคนนี้ผิดไม่ผิดอะไร พอชั้นมัธยมคุณแม่ก็บอกว่าผมต้องเป็นผู้พิพากษา เพราะทุกครั้งที่ท่านจะตีผมต้องให้เหตุผล เหตุใดจึงตี แล้วต้องให้ผมมีโอกาสโต้แย้ง
- วางแผนชีวิตหลังพ้นวาระกรรมการป.ป.ช.ในเดือนต.ค.นี้อย่างไร
คงสอนหนังสือ เขียนหนังสือต่อ ผมสอนทั้งในมหาวิทยาลัยและเนติบัณฑิต แล้วยังเป็นประธานมูลนิธิอีกเกือบ 70 แห่ง
- ตอนที่คุณพ้นวาระไปอาจมีนักการเมืองหลายคนดีใจ
ผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดีใจหรือเสียใจ (หัวเราะ) แค่เขาจำชื่อผมได้ก็ดีแล้ว
- มองตัวเองเป็นสัญลักษณ์ของการปราบโกงหรือไม่
จริงๆ แล้วอยากให้คนมองว่าเราสร้างบรรทัดฐานให้สังคม เป็นต้นแบบของการสร้างมาตรฐานที่ดีงามให้สังคม หลายที่ที่ผมไปเจอเด็กๆ หรือนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เขาวิ่งเข้ามาหาบอกว่าผมเป็น "ไอดอล"เขา ผมภูมิใจตรงนี้ คือ เป็นไอดอลในด้านนักกฏหมายที่ดี
- การทำหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช.ที่ผ่านมา มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปหรือไม่
ผมไม่ได้คิดเรื่องความคุ้มค่าหรือการสูญเสีย แบบเดียวกับที่ในหลวงท่านตรัส ให้มีชีวิตที่พอเพียงทำอะไรให้กับบ้านเมือง แล้วที่ท่านตรัสอีกคือบางอย่างอาจจะขาดทุนกำไร แต่ไม่มีการขาดทุนไม่มีการสูญเสีย ชีวิตเราที่ทำอะไรลงไปได้กำไรเสมอ
- ตั้งใจจะทำอะไรให้สำเร็จก่อนพ้นวาระกรรมการ ป.ป.ช.
เรื่องการสร้างระบบที่ดีให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนว่า ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานที่พึ่งได้- อยากฝากอะไรถึงนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
ถ้ารู้จักพอ เหมือนคำกล่าวของเด็กที่ชนะเลิศสุนทรพจน์ว่า นักการเมืองที่ทุจริตเพราะว่า ไม่รู้จักอักษร พ พาน คำว่า พอเพียง พอประมาณ ถ้ารู้จักคำว่าพอผมว่าโลกดีกว่านี้เยอะ ไม่มีคนอยากได้ อยากเป็นตลอดเวลา และต้องรู้จักให้ ถ้าเอาอย่างเดียวอันตรายแน่นอน แล้วต้องเลิกเสียทีกับ "ระบบอุปถัมภ์" ต้นเหตุใหญ่ที่สุดของการทุจริต ไม่เฉพาะระบบราชการ ระบบธุรกิจก็ด้วย ทำไมไม่แข่งกันแบบแฟร์ๆ ทุกวันนี้โลกที่เปลี่ยนไปเพราะภาคเอกชน ภาคประชาสังคมที่สามารถกลืนระบบราชการได้ อย่างฮ่องกง สิงคโปร์ แต่ไทยเรากลับถูก "ระบบอุปถัมภ์ "กลืนหมด

logoline