พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ รรท.ผบช.ก. ร่วมกับ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. และ พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รรท.ผกก.1 บก.ป.แถลงข่าวการจับกุม 2 ผู้ต้องหา ร่วมกันลักทรัพย์ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มูลค่าความเสียหาย 1,663 ล้านบาท
ประกอบด้วยนายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ถ.รัชดา ที่ 2320/2557 ลงวันที่ 22 ธ.ค.2557 และน.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ถ.รัชดา ที่ 2321/2557 ลงวันที่ 22 ธ.ค.2557
โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายทรงกลดมาร่วมแถลงข่าวเพียงผู้เดียว เนื่องจาก น.ส.อำพร ผู้ต้องหาอีกคน ยังรักษาอาการป่วยโรคเบาหวานอยู่ที่ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านบางนา แต่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวและแจ้งข้อหาไว้แล้ว
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้ตรวจสอบพบมีการลักทรัพย์ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ดังนั้นเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ทางสถาบันฯจึงมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ของสถาบันฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับนายทรงกลด และน.ส.อำพร ในความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และร่วมกันลักทรัพย์
โดยเมื่อวันที่ 1 และ 2 ตุลาคม ที่ผ่านมา น.ส.อำพร ซึ่งมีตำแหน่งเป็น ผอ.ส่วนการคลังของสถาบันฯ ทำเรื่องอนุมัติถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของสถาบันฯ ซึ่งฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 50 ล้านบาท และบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยอีก 30 ล้านบาท รวมยอดเงิน 80 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำเงินไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากของสถาบันฯอีกบัญชีเงินฝากหนึ่งซึ่งเป็นชื่อบัญชีของสถาบันฯเช่นกัน ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ ที่มีนายทรงกลดเป็นผู้จัดการสาขาอยู่ ซึ่งอ้างว่าจะได้อัตราดอกเยี้ยสูงกว่าในอัตราพิเศษ
พล.ต.ท.ประวุฒิ ระบุเมื่อทางสถาบันฯ เกิดความสงสัยจึงทำการตรวจสอบบัญชีเงินฝากที่ น.ส.อำพร กล่าวอ้างปรากฏมีการปลอมบัญชีเงินฝากดังกล่าวเป็นชื่อของสถาบันฯ และเงินฝากจำนวน 80 ล้านบาทได้สูญหายไป จากนั้นทางสถาบันฯ ได้ทำการตรวจสอบย้อนหลังบัญชีเงินฝากของสถาบันฯ จำนวน 3 บัญชีธนาคารที่เปิดไว้เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 ,วันที่ 26 ตุลาคม 2555 และวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555
พบมีการปลอมบัญชีธนาคารขึ้น เพื่อให้ดูเหมือนมีความเคลื่อนไหวทางบัญชีปกติ แต่ยอดเงินทั้งหมดได้สูญหายไปเหลือเพียงศูนย์บาทในบัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชี รวามมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1,663 ล้านบาท พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญา ในข้อหาข้างต้นกระทั่งวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมนายทรงกลดได้ที่ย่านอ่อนนุช ส่วน น.ส.อำพร เจ้าหน้าที่จับกุมได้ขณะเข้ารับการรักษาอาการป่วยโรคเบาหวานที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งย่านบางนา เจ้าหน้าที่จึงอายัดตัวแจ้งข้อหาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
จากการสอบสวนนายทรงกลด ในเบื้องต้นให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่ารู้จักกับ น.ส.อำพร ในฐานะพนักงานธนาคารกับลูกค้า โดยรู้จักกันมานานร่วม 10 ปี มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ในการทำธุรกรรมการเงินทุกครั้งจะเดินทางไปพบกับ น.ส.อำพร เพื่อรับเอกสารการเบิกถอน หรือโอนเงิน ซึ่งที่ผ่านมาในการทำธุรกรรม น.ส.อำพร จะนำเอกสาร มีลายเซ็นต์การมอบอำนาจครบถ้วน
ประกอบกับ น.ส.อำพร เป็นข้าราชการระดับสูง และเป็นหน่วยงานน่าเชื่อถืออย่างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ไม่คิดว่าจะเกิดการทุจริต จึงดำเนินการให้ตามที่น.ส.อำพร ทุกครั้งด้วยความเชื่อใจ ไม่คิดว่าจะมีผลลัพท์เช่นนี้ ซึ่งขณะนี้ตนเป็นเพียงอดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซีศรีนครินทร์ เพราะออกจากงานมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว เนื่องจากไม่ผ่านโปร
ขณะที่ พ.ต.อ. จิรภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแจ้งความและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองคนดังกล่าวเกิดจากนายเผ่าภัค ศิริสุข รักษาราชการแทนอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พบข้อพิรุธเกี่ยวกับเงินกองกลางของสถาบันฯ เมื่อมีการแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. จึงดำเนินการตรวจสอบเงินกองกลางที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารต่างๆ
พบว่า น.ส.อำพร ได้ทำเอกสารในนามของสถาบันฯ เพื่อสั่งจ่ายในรูปแบบแคชเชียร์เช็ค 2 ใบ ใบละ 50 ล้านบาท กับ 30 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา น.ส.อำพรได้ทำเรื่องอนุมัติถอนเงินแบบแคชเชียร์เช็ค ซึ่งฝากไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จำนวน 50 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 2 ต.ค. น.ส.อำพร ได้ทำลักษณะเดิมถอนเงินฝากของสถาบันฯจากธนาคารกรุงไทย สาขานิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จำนวน 30 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 80 ล้านบาท ออกไปโดยอ้างว่าจะนำเงินไปฝากรวมกับบัญชีของสถาบันอีกบัญชีหนึ่งเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราเดิม
โดยนำไปฝากที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ซึ่งมีนายทรงกรดเป็นผู้จัดการสาขาอยู่ แต่บัญชีนี้เป็นบัญชีปลอม เพราะเป็นบัญชีของบุคคลอื่น และบัญชีนี้ได้ถูกปิดไปก่อนหน้าแล้ว โดยแคชเชียร์เช็คดังกล่าวน่าจะถูกนำฝากเข้าบัญชีของนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์
พ.ต.อ.จิรภพ กล่าวอีกว่าเมื่อทำการตรวจสอบย้อนหลังของบัญชีเงินฝากสถาบันฯ ซึ่งเปิดบัญชีตั้งแต่เดือน มิ.ย.55 ถึงปัจจุบันพบความเสียหายเนื่องจากมีการปลอมความเคลื่อนไหวทางบัญชีของสถาบันฯ พบความเสียหายเพิ่มเติมอีกจำนวน 1,583 ล้านบาท เป็นบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีนายทรงกลดทำงานอยู่ในขณะนั้น จำแนกเป็นเงิน 3 ส่วน คือ 510 ล้านบาท ,314 ล้านบาท และ 759 ล้าทบาท รวมความเสียหายทั้งหมดจนถึงปัจจุบันแล้วเป็นจำนวน 1,663 ล้านบาท
ด้าน พ.ต.อ.อัครเดช กล่าวว่า จากการตรวจสอบแคชเชียร์เช็คพบว่ามีการนำเงินเข้าไปฝากในบัญชีของนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่านายพูลศักดิ์เป็นใครและมีความเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามคดีนี้เชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน ซึ่งหลังจากนี้ได้ประสานไปยังทางสำนักงานปปง.เพื่อมาร่วมทำการตรวจสอบบัญชี รวมทั้งความเคลื่อนไหวของเส้นทางการเงิน ซึ่งหากมีพยานหลักฐานไปถึงตัวผู้ใดก็จะนำตัวมาดำเนินคดีทันที
รายงานข่าวจากฝ่ายสืบสวน ระบุว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินในบัญชีจำนวน 1,663 ล้านบาท มีการยักย้ายถ่ายโอนไปบัญชีบุคคลที่สามหลายบัญชี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีผู้รู้เห็นหรือผู้ร่วมขบวนการอย่างน้อย 2-3 คน รวมทั้งตัวของนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยเฉพาะการประสานงานตรวจสอบร่วมกับ ป.ป.ง. ซึ่งจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ว่ามีใครเกี่ยวข้องและร่วมกันกระทำผิดในครั้งนี้