พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา บอกว่า ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดสูงที่สุดในอาเซียน โดยมีรายงานจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ว่า 2% ของประชากร หรือ 1.3 ล้านคน ติดยาเสพติด ถูกดำเนินคดีและต้องโทษจำคุก 250,000 คน อยู่ภายนอกเรือนจำ โดยไม่ถูกดำเนินคดีอีก 1 ล้านคน ซึ่งคนกลุ่มนี้ ไม่เข้าสู่ระบบบำบัดฟื้นฟู ทั้งแบบบังคับและสมัครใจ บางรายผ่านการบำบัดแล้วแต่หวนกลับไปใช้ยาเสพติดอีกซึ่งสถานการณ์ยาเสพติดในหลายประเทศ อย่างเช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ก็มีแนวโน้มตรงกับไทย คือ ผู้ติดยาอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยพบว่า เด็กเล็กที่ติดยาเสพติดมีอายุต่ำที่สุด 7 ปี
พล.อ.ไพบูลย์ ยอมรับว่า การบำบัดที่ผ่านมาไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทำให้ผู้ผ่านการบำบัดกลับไปเสพยาอีก จึงสั่งการให้ ป.ป.ส.และกระทรวงยุติธรรม จัดระบบการบำบัดระหว่างผู้เสพที่เข้ารับการบำบัดกับผู้เสพในเรือนจำ เพื่อแยกประเภทการบำบัดให้ชัดเจน โดยตั้งเป้าให้บำบัดผู้เสพให้หายขาดจากยาเสพติดประมาณ 10% ของจำนวนผู้ติดยา เพราะเป็นเรื่องยาก ซึ่งในต่างประเทศเอง ก็ยังกำหนดเป้าหมายไว้เพียง 30% เท่านั้น
ที่น่าสนใจ พล.อ.ไพบูลย์ บอกว่า ปัจจุบันทั่วโลกเห็นตรงกันว่าโทษจำคุกไม่ใช่ทางออก เพราะ ไม่สามารถกล่อมเกลานักโทษคดียาเสพติดได้ ขณะที่ผู้ต้องขังคดียาเสพติดกว่า 2 แสนคน ไม่ใช่นักค้ารายใหญ่แต่เป็นแรงงานอาชญากรรมยาเสพติด ตำรวจปราบปรามยาเสพติด กับกระทรวงยุติธรรม จึงต้องประเมินว่าในทุก 1 ปี จับกุมรายใหญ่ ที่หัวใจขององค์กรยาเสพติดได้กี่ราย และเพราะปัญหายาเสพติดเป็นภัยคุกคามประเทศ ถ้าหน่วยงานใดไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหา พล.อ.ไพบูลย์ บอกว่า จะเสนอให้นายกรัฐมนตรีสั่งย้ายทันที