นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และงานขายลูกค้ารายย่อย ธนาคารธนชาต ในฐานะ ปธ.สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดเช่าซื้อยังไม่ค่อยดีนัก และน่าจะทรงตัวถึงสิ้นปีนี้ แต่ปี 2558 หลังจากมีเม็ดเงินจากภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ คาดว่าแนวโน้มธุรกิจจะดีขึ้น แต่ไม่เร็วมากนัก ต้องจับตาดูงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป สิ้นปีว่า กำลังซื้อจะกลับมาหรือไม่
ส่วนคุณภาพสินเชื่อไม่ได้แย่ลงมากนัก โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ทั้งระบบอยู่ที่ 3% เพราะสถาบันการเงินเข้าไปให้ความช่วยเหลือ และปรับโครงสร้างหนี้ให้ ทำให้รถที่ถูกยึดเริ่มทรงตัว ทั้งระบบมีรถถูกยึดที่ยังค้างสต็อกอยู่1.3-1.4 หมื่นคัน
นายสุรชัย จิตตรัตน์เสนีย์ ดำรงตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายสนับสนุนธุรกิจธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวถึงธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ของบริษัทเซ็นเตอร์ ออโต้ ลีส จำกัด ว่า ธุรกิจเช่าซื้อปีนี้มีแนวโน้มไม่ดีโดยเฉพาะเช่าซื้อรถยนต์ที่ยังได้รับผลกระทบจากรถคันแรก ทำให้ราคารถมือสองปรับลดลง 20-40% รวมถึงมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นและมีอัตราการยึดรถสูงกว่าปีก่อน
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เผยความคืบหน้าการจ่ายเงินโครงการรถยนต์คันแรกว่ากรมฯยังทยอยจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่ขอใช้สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2558 กรมฯ ได้ตั้งงบประมาณไว้เพื่อโครงการดังกล่าวจำนวน1,600 ล้านบาท ขณะนี้จ่ายไปแล้วประมาณ 400 ล้านบาท ยังเหลือเงินที่รอการจ่ายอีกจำนวน 1,200 ล้านคาดจะทยอยจ่ายได้หมดตามระยะเวลาการใช้สิทธิ์ในเดือนสิงหาคมปี 2558 โดยยอดที่รอการจ่ายมีจำนวนประมาณ 6,000 ราย
ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการในช่วงปลายปี 2554 จนถึง 15 ต.ค.ที่ผ่านมากรมฯ ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้ขอใช้สิทธิ์ไปแล้วจำนวน1,090,373 ราย เป็นเงินจำนวน 80,189 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีผู้ใช้สิทธิ์นำเงินมาคืน เนื่องจากผิดเงื่อนไขโครงการจำนวน2,335 ราย เฉลี่ยเป็นเงินประมาณ 7 หมื่นบาทต่อราย และมีจำนวนที่กรมฯ ได้เรียกเงินคืนจำนวน 2,175 ราย ในจำนวนนี้ได้ส่งหนังสือขอเรียกเงินคืนจำนวน 1,800 ราย,ขอผ่อนผันชำระ 61 ราย และได้ยื่นฟ้องร้องจำนวน 314 ราย
สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการและได้รับรถไปแล้วมีจำนวน 1,124,546 ราย เหลือที่รอรับรถและใช้สิทธิ์จำนวน 113,196 รายจนถึงเดือนตุลาคมนี้ ยังไม่มีผู้ลงทะเบียนมาขอรับรถและใช้สิทธิ์ในโครงการแต่อย่างใด ซึ่งกรมฯ เชื่อว่าโครงการนี้ จะสามารถปิดตัวลงได้ในเร็วๆนี้ ทำให้กรมฯไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเพื่อจ่ายในโครงการอีกต่อไป