นายวรพจน์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2551 พนักงานสอบสวน บก.ปดส.ยศ พ.ต.ท.นายหนึ่ง สอบสวนดำเนินคดีกับตนในข้อหาค้ามนุษย์ ทั้งที่ผู้ต้องหาตัวจริง คือ นายราเชนทร์ นิสารัตนาพร ซึ่งมีการให้ผู้เสียสเก็ตช์ภาพไว้และมีการสอบปากคำไว้ตั้งแต่แรก โดยตนก็ยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้เป็นผุ้กระทำความผิด แต่พนักงานสอบสวนคนดังกล่าว กลับยังคงดำเนินคดีกับตน มีการพาผู้เสียหายมาชี้ตัว และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังร่วมกับพนักงานอัยการ สั่งฟ้องคดีต่อศาล
นายวรพจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับมูลเหตุที่ถูกจับกุมและตั้งข้อหา นั้น คาดว่าจะมาจากกรณีที่บุตรชายตน ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในประเทศอังกฤษ และเปิดเว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาต มีการส่งเรื่องกลับมาที่ประเทศไทย ในช่วงเวลาที่ น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) ถูกทางการอังกฤษ จับกุมตัวหลังจากลักลอบค้าประเวณี ก่อนถูกส่งตัวกลับประเทศไทย ต่อมา น.ส.นิ่ม ได้แจ้งความไว้ที่ บก.ปดส.ให้ดำเนินคดีกับนายราเชนทร์ กับพวก รวม 6 คน ทั้งๆ ที่ พนักงานสอบสวนรู้ดีว่าไม่มีชื่อตน แต่กลับจงใจเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา จากการถูกพิจารณาคดีดังกล่าวตลอด 6 ปี ชีวิตต้องสูญเสียทุกอย่างจนหมดสิ้น
ที่ผ่านมา ผมกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ถูกตราหน้าว่าเป็นเฒ่าหัวงู ทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดใดๆ และที่สุดก็ได้รับความเมตตาจากศาลทั้งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง เป็นเวลาประมาณกว่า 1 ปี โดยที่อัยการไม่มีหลักฐานใหม่ที่จะยื่นฎีกา ทำให้คดีนี้สิ้นสุดลง ผมก็ตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการที่ทำคดี ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา แต่คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ นายวรพจน์ กล่าว
ขณะที่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น อยากร้องเรียนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายรายนี้ ที่ผ่านมาเขาไม่สามารถทำงานอะไรได้เพราะมีประวัติอาชญากรที่ยังไม่ได้ถูกลบออก อย่างไรก็ดี ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ จะพาผู้เสียหายเข้าพบ พล.ต.อ.เอก เอกอังสนานนท์ รองผบ.ตร.เพื่อร้องทุกข์และขอให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวต่อไป