หลังจากที่หมดยุคของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กับ จอห์น เทอร์รี แนวรับของอังกฤษดูจะเป็นห่วง เพราะคู่เซ็นเตอร์แบ็คที่ดีที่สุดของทีมชุดนี้คือ ฟิล จากิลกา กับ แกรี เคฮิลล์ และสภาพของ จากิลกา ก็ดูไม่ 100 เปอร์เซนต์เท่าไรนัก ขณะที่แดนกลาง ฮอดจ์สัน ยังคงไว้ใจ และยังหวังว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังเล่นด้วยกันได้ ส่วนพวกเด็กที่มาช่วยก็เป็นพวกเทคนิคสูง หรือความเร็วสูงซะมาก บางทีอาจทำให้ขาดสมดุลในแดนกลางไป เพราะทั้ง เจอร์ราร์ด และ แลมพาร์ด คงหนักไปทางคุมพื้นที่มากกว่าจะไปวิ่งไล่คู่ต่อสู้ แนวรุกฟอร์มของ เวย์น รูนีย์ ในฤดูกาลที่ผ่านมาไม่ดีเท่าไรนัก และยังไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถเล่นร่วมกับ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่กำลังฟอร์มดีได้ ความหวังของทีมจึงน่าจะเป็นการหาประสบการณ์ให้นักเตะดาวรุ่งเพื่อไปหวังจริงๆในยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศสมากกว่า การอยู่ร่วมกลุ่ม ดี กับ อุรุกวัย, อิตาลี และ คอสคาริกา ดูจะหนักเกินไปสำหรับ อังกฤษ ชุดนี้ หาก รอย ฮอดจ์สัน จะนำทีมผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย คงต้องท็อปฟอร์มในทุกนัด การพบกันกับ อิตาลี 24 ครั้งที่ผ่านมาสถิติยังเป็นรอง ชนะได้ 8 นัด แพ้ 9 นัด และเสมอกัน 7 นัด แม้เกมสุดท้ายที่พบกันจะชนะในเกมอุ่นเครื่องได้ 2-1 เมื่อปี 2002 ขณะที่การพบกัน อุรุกวัย ก็เช่นกัน เจอกันมา 10 ครั้งชนะได้ 3 ครั้ง แพ้ 4 ครั้ง และเสมอ 3 ครั้ง ในฟุตบอลโลก อังกฤษ ยังไม่เคยชนะ อุรุกวัย มาก่อนเคยแพ้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อปี 1954 และเมื่อปี 1966 แม้ว่า อังกฤษ จะเป็นแชมป์โลกแต่ก็ทำได้แค่เสมอ 0-0 ส่วนกับ คอสตาริกา จะเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองทีม บางคนอาจจะบอกว่า อังกฤษ มีโอกาสทำผลงานได้ดีเพราะไปบราซิลครั้งนี้แบบไม่มีความหวังและไม่มีความกดดัน แต่อย่าลืมว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่แอฟริกาใต้ อังกฤษ ก็ไปแบบไม่มีความกดดัน แต่สภาพทีมและฝีเท้ายังไงก็มีส่วนสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่โดน เยอรมนี ถล่ม 4-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งบางทีฟุตบอลโลกครั้งนี้ อังกฤษ อาจจะไม่มีโอกาสไปได้ถึงจุดนั้น