ประท้วงจีนรุนแรง ในเวียดนาม

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าแพทย์คนหนึ่งประจำโรงพยาบาลจังหวัดฮาตินของเวียดนาม เปิดเผยว่าคนงานเวียดนามเสียชีวิต 5 ราย และคนงานจีนเสียชีวิต 16 รายเมื่อคืนวันพุธ (14 พ.ค.) ในเหตุจลาจลต่อต้านจีนในเวียดนาม ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่กระทบความสัมพันธ์ของสองประเทศครั้งรุนแรงที่สุดตั้งแต่ทำสงครามชายแดนกันเมื่อปี 2522 "มีคนร่วมร้อยถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาล หลายคนเป็นคนจีน นอกจากนั้นยังมีการส่งตัวผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาลอื่น" แพทย์คนนี้เปิดเผย อย่างไรก็ตาม สื่อในประเทศรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียว บริษัทฟอร์โมซาพลาสติกกรุ๊ป ซึ่งเป็นนักลงทุนไต้หวันรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม กล่าวว่าโรงงานเหล็กที่กำลังจะเปิดดำเนินงานในเมืองฮาติน ทางตอนกลางของประเทศ ถูกวางเพลิง หลังจากคนงานเวียดนามกับคนงานจีนทะเลาะกัน ทำให้คนงานจีนเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 90 คน เมื่อสร้างเสร็จในปี 2560 คาดว่าโรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานผลิตเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายจากไฟไหม้หรือความสูญเสียทางการเงินจากเหตุการณ์นี้ ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมฮาตินกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีกำหนดแล้วเสร็จปี 2563 คาดว่าสิ้นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ นิคมแห่งนี้จะมีท่าเรือ โรงงานผลิตไฟฟ้า และมีเตาหลอม 6 แห่ง นิคมอุตสาหกรรมเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจเวียดนามที่มีมูลค่า 138,000 ล้านดอลลาร์ เวียดนามมีนิคมอุตสาหกรรม 190 แห่ง จ้างงานคนงาน 2.1 ล้านคน นิคมเหล่านี้ผลิตสินค้ามูลค่า 38,000 ล้านดอลลาร์เพื่อการส่งออกเมื่อปีที่แล้ว หรือ 30% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมดของประเทศ เหตุจลาจลต่อต้านจีนปะทุขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมบินดวงทางใต้ของประเทศเมื่อวันอังคาร (13 พ.ค.) จากกระแสประท้วงต่อต้านจีนที่นำแท่นขุดเจาะน้ำมันไปวางในทะเลจีนใต้บริเวณที่เวียดนามอ้างสิทธิ์ ขณะที่บริษัทไต้หวันโดนลูกหลงไปในเหตุรุนแรงครั้งนี้ด้วย เพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัทจีน ล่าสุดการประท้วงของคนงานลุกลามไปยัง 22 จังหวัด จากทั้งหมด 63 จังหวัดของเวียดนาม จนรัฐบาลเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อนนักลงทุนต่างชาติที่ตื่นตระหนกจะถอนตัวออกไป นายกรัฐมนตรีเหงียน ตันดุ่งของเวียดนาม กล่าวถึงสถานการณ์นี้ว่าร้ายแรงมาก แม้การแสดงความรักชาติเป็นสิ่งถูกต้อง แต่ผู้ละเมิดกฎหมายจะต้องถูกลงโทษจีนร้องลงโทษ-ชดเชย จีนแสดงความวิตกอย่างมากเกี่ยวกับเหตุรุนแรงครั้งนี้ และเรียกร้องให้เวียดนามลงโทษผู้ก่อเหตุ รวมถึงชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ โดยนางหัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ระบุว่ารัฐบาลกรุงฮานอยทำเป็นมองไม่เห็นผู้ประท้วง "การปล้นสะดมและลักขโมยซึ่งเกิดขึ้นกับธุรกิจจีนและคนจีน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการขยิบตาของเวียดนามและการไม่บังคับใช้กฎหมายของเวียดนาม" นางหัวระบุ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่ายังไม่ทราบชะตากรรมคนจีนอีกประมาณ 10 คน ขณะที่ทางการปักกิ่งออกคำเตือนแก่นักท่องเที่ยวที่วางแผนไปเวียดนาม โดยแนะนำให้นักท่องเที่ยวพิจารณาแผนการเดินทางอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้จุดชนวนความไม่พอใจระหว่างจีนกับเวียดนาม โดยเรือของสองประเทศได้เข้าไปวนเวียนแถบแท่นขุดเจาะ และสองฝ่ายต่างกล่าวหากันไปมาว่าจงใจชนเรือตัวเอง อันก่อให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นของการเผชิญหน้าคนจีนหนีเข้ากัมพูชา เจ้าหน้าที่เผยว่าชาวเวียดนามหลายพันคนได้จุดไฟเผาโรงงานหลายแห่งในนิคมอตสาหกรรมจังหวัดบินดวงและดองนอยเมื่อวันอังคาร (13 พ.ค.) การประท้วงดำเนินไปต่อเนื่องในวันพุธ (14 พ.ค.) ทำให้ชาวจีนหลายร้อนคนที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวหนีออกนอกประเทศเวียดนาม โดยส่วนหนึ่งได้หนีไปทางเครื่องบินและส่วนหนึ่งข้ามพรมแดนไปยังกัมพูชา "มีคนจีนกว่า 600 คนจากเวียดนาม ข้ามจุดตรวจบาเว็ทเข้าไปในกัมพูชา พวกเขาไปพักที่เกสต์เฮาส์และโรงแรมในกรุงพนมเปญ หลังจากเหตุการณ์สงบลง พวกเขาอาจกลับไปเวียดนามหรือที่อื่นๆ" โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผย ส่วนที่สนามบินโฮจิมินห์ มีคนจีนจำนวนหนึ่งเดินทางไปถึงกลุ่มใหญ่ และเข้าแถวรอซื้อตั๋วหรือจับเที่ยวบินแรกไปยังมาเลเซีย กัมพูชา ไต้หวัน สิงคโปร์ และจีน "คนรู้สึกไม่ปลอดภัยที่นี่ เราต้องการออกจากเวียดนาม เพื่อไปไทยหรือกัมพูชาก็ได้หากไม่มีตั๋วไปจีน แน่นอนว่าเรากลัวเพราะโรงงานหลายแห่งถูกเผา" นายซู เหวินฮง คนงานบริษัทเหล็กระบุ โดยเขาซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไปจีน เฉพาะจังหวัดบินดวงจังหวัดเดียว ตำรวจกล่าวว่ามีบริษัท 460 แห่งรายงานว่าโรงงานได้รับความเสียหาย มีตำรวจกว่า 40 นายได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่ ส่วนมากโดยผู้ประท้วงที่ขว้างอิฐและหินเข้าใส่ ซึ่งขณะนี้ตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุปล้นสะดมและยั่วยุฝูงชนได้แล้วกว่า 600 คนสหรัฐแนะหาทางออกสันติ ด้านสหรัฐเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดกลั้น โดยนายเจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงว่า ความขัดแย้งต้องได้รับการแก้ไขด้วยการเจรจา ไม่ใช่การคุกคามกัน สหรัฐขอแนะให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออก  ขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า กำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวในเวียดนามอย่างใกล้ชิด และเตือนให้ทุกฝ่ายอดกลั้น และเสริมว่าสนับสนุนสิทธิส่วนบุคคลในการชุมนุมเพื่อประท้วงอย่างสันติ