กสทช. ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด พร้อมขอให้ศาลยกฟ้อง กรณีอาร์เอส ยื่นฟ้องเพิกถอนประกาศ MUST HAVE ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ย้ำ บ. อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นต์ จำกัด เป็นเพียงผู้ได้รับลิขสิทธิ์ ไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการบังคับใช้ประกาศ MUST HAVEพ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (ประธาน กสท.) เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย พ.ต.อ. ทวีศักดิ์ งามสง่า ผู้รับมอบอำนาจจาก กสทช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ระหว่างบริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด (ผู้ฟ้องคดี) กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ 2) ในกรณีเกี่ยวกับประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 (ประกาศ MUST HAVE) ต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้กลับคำพิพากษาศาลปกครองกลางและยกฟ้องคดีนี้ โดยมีประเด็นหลักในการอุทธรณ์คือ ประเด็นที่ 1 การฟ้องร้องคดีของผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยพ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 โดยผู้อุทธรณ์เห็นว่า บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเพียงผู้ได้รับลิขสิทธิ์ให้ทำการแพร่ภาพแพร่เสียงรายการการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย เป็นเพียงผู้ที่มีเนื้อหารายการเท่านั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ใช่ผู้ที่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 โดยตรง ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบังคับใช้ประกาศฯนอกจากนี้ ตามที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ได้ยื่นคําร้องขออนุญาตที่จะยกเว้น การปฏิบัติตามประกาศพิพาทในกรณีของการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย โดยต่อมาผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอถอนคําร้องขออนุญาตตามข้อ 4 ของประกาศพิพาทโดยอ้างเหตุว่าได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนประกาศพิพาทแล้ว ดังนั้น หากศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายจากการปฏิบัติตามประกาศพิพาทจึงมีสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาล กรณีดังกล่าวผู้ฟ้องคดีจะต้องปฏิบัติตามประกาศพิพาท ข้อ 4 ในการยื่นคําร้องขออนุญาตที่จะปฏิบัติเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากที่ประกาศพิพาทกําหนด ศาลปกครองกลางจะต้องมีคําวินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวกับการที่ผู้ฟ้องคดียื่นคําร้องขอตามข้อ 4 ของประกาศพิพาทและขอถอนคําร้องก่อนที่ กสท. จะมีคําสั่งในคําร้องดังกล่าว เนื่องจากได้นําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองนั้น เป็นการดําเนินการที่ทําให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิฟ้องคดีโดยชอบด้วยมาตรา 42 แห่งพ.ร.บ. ตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 หรือไม่ ประกอบกับผู้ฟ้องคดีเองได้อ้างเหตุแห่งการที่ กสท. ไม่มีคําสั่งในคําร้องขอของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวจนล่วงพ้นระยะเวลาอันสมควร ผู้ฟ้องคดีจึงต้องนําคดีมาฟ้องต่อศาล หากแต่ศาลปกครองกลางยังไม่ได้มีคําวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว แต่อย่างใด กระบวนการพิจารณาในส่วนนี้ จึงไม่ชอบด้วย