
ในตอนนี้เราจะเห็นได้ว่าตามท้องตลาดมีน้ำมันขายอยู่มากมายหลายชนิดมีทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก
มีทั้งถูกทั้งแพง แต่น้ำมันชนิดไหนละที่จะดีต่อการทำอาหารและร่างกายของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องรู้จักข้อดีและของเสียของน้ำมันแต่ละชนิดเพือที่เราจะนำมารับประทานได้อย่างถูกต้อง
งั้นเรามาเริ่มจากน้ำมันที่มีราคาแพงกันก่อนเลย
น้ำมันมะกอก
ข้อดี: ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ดีต่อระบบย่อย ช่วยป้องกันจากโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกระดูกพรุน ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและ ลดรอยเหี่ยวย่นได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้ด้วย
ข้อเสีย: มีกลิ่นแรง
วิธีปรุงที่เหมาะสม: ใช้ทำอาหารได้ทุกประเภทแต่นิยมนำมาทำสลัด
ราคา: 150-500 บาทต่อ 1 ลิตร
น้ำมันมะพร้าว
ข้อดี: ช่วยบำรุงบำรุงหัวใจ ล้างพิษในร่างกาย รักษาโรคอ้วน ป้องกันโรคเบาหวาน ไม่มีไขมันทรานส์ และ ไม่เกิดสารก่อมะเร็ง อาหารจะที่ทำออกมาจะไม่อมน้ำมัน สามารถทำเองได้
ข้อเสีย: จะมีกลิ่นมะพร้าวค่อนข้างแรง
วิธีปรุงที่เหมาะสม: ใช้ทำอาหารประเภททอด ผสมในน้ำสลัด หรือจะใส่ในเครื่องดื่มหรือของหวานก็ได้
ราคา: 120-200 บาทต่อ 1 ลิตร
น้ำมันรำข้าว
ข้อดี: ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี องค์การอนามัยโลก สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาและองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติแนะนำว่า เป็นน้ำมันที่เหมาะต่อการบริโภค ไม่มีสารกันหืน
ข้อเสีย: -
วิธีปรุงที่เหมาะสม: ใช้ทำอาหารได้ทุกประเภท รวมถึงอบขนมได้
ราคา: 60-160 บาทต่อ1 ลิตร
น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน
ข้อดี: บำรุงสายตา ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ข่วยในการเผาผลาญไขมัน ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง และโรคที่ปอด รวมถึงช่วยป้องกันการเป็นหมัน และการแท้งอีกด้วย
ข้อเสีย: -
วิธีปรุงที่เหมาะสม: ใช้ทำอาหารจำพวกผัดๆ หรือ สลัด แต่ไม่เหมาะกับการน้ำไปทอด
ราคา: 50-80 บาทต่อ 1 ลิตร
น้ำมันถั่วเหลือง
ข้อดี: ช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้ และมีโปรตีนสูง
ข้อเสีย: เหม็นหืนเร็ว และไม่สามารถทอดอาหารที่ต้องใช้อุณหภูมิสูงๆได้
วิธีปรุงที่เหมาะสม: เหมาะแก่การนำมาผัด ราดบนสลัด และทำมาการีน
ราคา: 35-55 บาท บาทต่อ1 ลิตร
น้ำมันปาล์ม
ข้อดี: ไม่มีกลิ่นหืน และ ทอดอาหารได้กรอบอร่อย
ข้อเสีย: มีทำให้คอเลสเตอรอลสูงได้
วิธีปรุงที่เหมาะสม: อาหารทอดที่ใช้อุณหภูมิสูงๆจำพวกกล้วยแขก โดนัท ปาท่องโก๋ ฯลฯ และทำมาการีน
ราคา: 32-42 บาทต่อ 1 ลิตร
น้ำมันหมู
ข้อดี: ขับออกจากร่างกายได้ง่าย ทนต่อความร้อนได้ดี ทำให้อาหารกรอบอร่อย หน้าตาหน้ารับประทาน และมีกลิ่นหอม
ข้อเสีย: มีคลอเรสเตอรอลสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวาน และโรคอ้วน อีกทั้งน้ำมันหมูเป็นน้ำมันที่เก็บได้ไม่นาน ทำให้เป็นไขเมื่อากาศเย็นและเหม็นหื่นง่ายในอุณหภูมิปกติ
วิธีปรุงที่เหมาะสม: ใช้กับอาหารทอด หรืออาหารที่ต้องใช้อุณหภูมิสูงๆ
ราคา: ราคาถูกกว่าน้ำมันพืช
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของอาหารที่เราต้องการปรุงด้วยโดยคำนึงจาการใช้ความร้อนเป็นหลัก ว่าเหมาะสมกับน้ำมันชนิดไหน ถ้าหากเป็นอาหารที่ใช้น้ำมันไม่เยอะอย่างการผัดจะเลือกใช้น้ำมันชนิดใดก็ได้ แต่ถ้าเป็นอาหารที่ต้องใช้น้ำมันมากและความร้อนสูง อย่างการทอด ปาท่องโก๋ กล้วยแขก ลูกชิ้น ฯลฯ หรือแม้แต่ไก่ กับ ปลา เราควรจะใช้น้ำมันที่ทนต่อความร้อนได้ดี อย่าง น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม หรือ น้ำมะพร้าวก็ได้ เพราะถ้าเป็นน้ำมันพืชชนิดอื่น อาจะจะทำให้เกิดสารที่เรียกว่า โพลิเมอร์ ซึ่งเจะมีผลกับสุขภาพร่างกายของเราในภายหลัง หากพูดถึงน้ำสลัดควรจะใช้น้ำมันที่ไม่แข็งตัวในอากาศเย็นอย่าง น้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันถั่วเหลืองนั่นเอง
แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดเราควรที่จะกินน้ำมันให้หลากหลายแต่ในจำนวนที่พอดีต่อร่างกายของเรานั่นคือ ต่อ 1วัน เราไม่ควรกินไขมันเกิน 25-30% ของ 2000 กิโลแคลอรี่ที่ร่างกายของเราต้องการ ซึ่งน้ำมัน 1 กรัมจะมีค่าเท่ากับ 9 กิโลแคลอรี่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากพืชหรือจากสัตว์ก็ตาม. เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมที่จะให้ความสำคัญกับการเลือกใช้นำ้มันที่จะนำมาปรุงอาหาร เพื่อที่เวลาเรานำมารับประทานจะได้รับประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด
อ้างอิง: หมอชาวบ้าน / kapook / คมชัดลึก / กองโภชนาการ กรมอนามัย