svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Health

ช่วยชีวิตผู้จมน้ำอย่างถูกวิธี เพิ่มโอกาสรอดมากกว่า 2 เท่า เรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้

เผยสถิติคนไทยจมน้ำตายเฉลี่ยวันละ 10 คน แนะวิธีช่วยชีวิตที่ถูกต้องด้วยการทำ CPR (เป่าปากสลับกดหน้าอก) ช่วยเพิ่มโอกาสรอดถึง 2.19 เท่า ย้ำห้ามอุ้มพาดบ่าหรือกระแทกท้อง เพราะอาจทำให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต

KEY

POINTS

  • การช่วยชีวิตผู้จมน้ำอย่างรวดเร็วและถูกวิธี สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากกว่า 2 เท่า
  • การทำ CPR ผู้จมน้ำที่ถูกต้อง ต้องเริ่มด้วยการ "เป่าปาก 2 ครั้ง" ก่อนการกดหน้าอก 30 ครั้ง เพื่อเติมออกซิเจนให้ร่างกายโดยเร็วที่สุด
  • สมองจะเริ่มขาดออกซิเจนและเสียหายถาวรในเวลาเพียง 4-6 นาทีหลังจมน้ำ การช่วยเหลือทันที ณ จุดเกิดเหตุจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
  • วิธีช่วยเหลือที่ผิด เช่น การอุ้มพาดบ่าหรือกดท้องเพื่อเอาน้ำออก อาจทำให้ผู้ประสบเหตุขาดอากาศนานขึ้น

การจมน้ำยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่สามารถป้องกันได้ หากมีการดูแลและช่วยเหลืออย่างถูกต้องและทันท่วงที กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุชัดว่า “การช่วยชีวิตผู้จมน้ำอย่างรวดเร็วและถูกวิธี สามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ถึง 2.19 เท่า” เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR)

ตัวเลขสะท้อนปัญหา จมน้ำไม่ใช่เรื่องไกลตัว

ข้อมูลจากกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2558-2567) ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำรวมกว่า 36,870 คน หรือเฉลี่ยวันละมากกว่า 10 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ถึง 6,449 คน หรือเฉลี่ยวันละ 2 คน

ที่น่ากังวลคือ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด โดยในปี 2567 เพียงปีเดียว มีเด็กเล็กจมน้ำเสียชีวิตถึง 180 คน คิดเป็นกว่าร้อยละ 32 ของการเสียชีวิตจากการจมน้ำในกลุ่มเด็กทั้งหมด สะท้อนว่าการจมน้ำยังเป็นปัญหาความปลอดภัยด้านสุขภาพที่รุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

เวลาชีวิตนับเป็นวินาที ทำไมต้องรีบช่วย

นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า หลังการจมน้ำเพียง 2 นาที ผู้ประสบเหตุจะหมดสติ และหากผ่านไป 4-6 นาที สมองจะขาดออกซิเจนจนเกิดความเสียหายถาวร ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการหรือเสียชีวิตได้

นั่นหมายความว่า “การช่วยเหลือตั้งแต่จุดเกิดเหตุ” คือปัจจัยชี้เป็นชี้ตาย การรอรถพยาบาลโดยไม่ทำอะไร หรือการช่วยผิดวิธี อาจทำให้ผู้ประสบเหตุสูญเสียโอกาสรอดชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย

ทำไมผู้จมน้ำต้อง “เป่าปากก่อน”

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย คือ การอุ้มผู้จมน้ำพาดบ่า กระแทกหลัง หรือกดท้องเพื่อเอาน้ำออกจากร่างกาย ซึ่งกรมควบคุมโรคย้ำชัดว่า เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง และอาจยิ่งทำให้ผู้ประสบเหตุขาดอากาศหายใจนานขึ้น

สาเหตุหลักของการหมดสติจากการจมน้ำ คือ การขาดอากาศหายใจ (Hypoxia) ไม่ใช่เพราะมีน้ำอยู่ในท้องหรือปอดจำนวนมาก ดังนั้น การช่วยชีวิตผู้จมน้ำจึงแตกต่างจาก CPR ทั่วไป โดยต้อง เริ่มจากการเป่าปากก่อน เพื่อเติมออกซิเจนให้ร่างกายโดยเร็วที่สุด

ขั้นตอนช่วยชีวิตผู้จมน้ำที่ถูกต้อง

หากพบผู้ประสบเหตุจมน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1. โทรแจ้งสายด่วน 1669 หรือหน่วยแพทย์ฉุกเฉินใกล้เคียงทันที

2. นำผู้ประสบเหตุขึ้นจากน้ำ วางนอนบนพื้นราบ แห้ง และแข็ง

3. ตรวจการตอบสนอง

  • หากรู้สึกตัว ให้เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ห่มผ้าให้ความอบอุ่น และนำส่งโรงพยาบาล
  • หากหมดสติ ให้เริ่มทำ CPR ทันที

4. เริ่ม CPR สำหรับผู้จมน้ำ

  • เป่าปาก 2 ครั้ง
  • กดหน้าอก 30 ครั้ง
    • ผู้ใหญ่: กดลึกประมาณ 5 เซนติเมตร
    • เด็ก: กดลึกประมาณ 1 ใน 3 ของความหนาหน้าอก
  • ความเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที
  • ทำสลับกันต่อเนื่องจนผู้ประสบเหตุหายใจเองได้ หรือจนทีมแพทย์มาถึง

5. นำส่งโรงพยาบาลทุกราย แม้ผู้ประสบเหตุจะฟื้นและรู้สึกตัวดีแล้ว เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง

ความรู้เล็กน้อย อาจช่วยชีวิตคนได้ทั้งชีวิต

การไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ และการช่วยอย่าง “ถูกวิธี” คือหัวใจสำคัญในการลดการสูญเสียจากการจมน้ำ ความรู้เรื่องการทำ CPR โดยเฉพาะสำหรับผู้จมน้ำ ไม่ได้เป็นเรื่องของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่เป็นทักษะพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรเรียนรู้

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำแนะนำด้านสุขภาพ สามารถติดต่อ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ความรู้วันนี้ อาจเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาชีวิตใครบางคนในวันข้างหน้าได้อย่างแท้จริง