โรคหัวใจ (Heart Disease) เป็นกลุ่มอาการของโรคต่างๆ ที่เกิดกับหัวใจ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ โดยทั่วไปแล้วเมื่อเราพูดถึงโรคหัวใจ หลายคนก็มักคิดถึงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นอันดับแรกๆ เพราะเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในบรรดาโรคหัวใจ อีกทั้งในแต่ละปียังมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจกว่า 40,000 คนเลยทีเดียว
6 ประเภทโรคหัวใจที่สำคัญและมีอาการแตกต่างกัน
1) ภาวะหัวใจล้มเหลว / หัวใจอ่อนกำลัง (Heart Failure)
ภาวะหัวใจล้มเหลว ไม่ได้หมายความว่า หัวใจจะหยุดทำงาน แต่เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถทำงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ภาวะที่หัวใจอ่อนแอหรืออ่อนกำลังลง ทำให้การทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งปกติเป็นเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น แต่ก็ยังมีวิธีต่าง ๆ ที่ผู้ป่วยและแพทย์จะร่วมมือกันเพื่อช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
2) หลอดเลือดหัวใจตีบตัน
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นโรคหัวใจที่พบบ่อยในผู้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ อายุที่มากขึ้น การสูบบุหรี่จัด ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และการไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้มีการตีบตันในหลอดเลือด เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
อาการ เจ็บแน่นหน้าอกหรือเหนื่อยง่าย จุกแน่น เสียดหรือแสบร้อนในบริเวณทรวงอก เหงื่อออก ใจสั่น เป็นลม อาจเป็นแบบฉับพลันและรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือที่เรียกว่า หัวใจพิบัติ (Heart Attack) ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม ถือเป็นภาวะวิกฤติที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
3) ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นเร็ว หรือช้ากว่าปกติ เนื่องจากความผิดปกติของการกำเนิดกระแสไฟฟ้าหัวใจ การนำไฟฟ้าหัวใจ หรือทั้ง 2 อย่างร่วมกัน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจเกิดจากโรคหัวใจหลายชนิด เช่น ลิ้นหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หรือหลอดเลือดหัวใจตีบตัน หรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น การส่งกระแสลัดวงจร มีแผลเป็นหรือก้อนไขมัน ทำให้หัวใจมีจุดที่สร้างกระแสไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
อาการ ใจสั่น หน้ามืด เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย หมดสติ หรือ หัวใจวาย ขึ้นกับอัตราเร็วของหัวใจเต้น ระยะเวลาที่เกิด รวมทั้งสาเหตุ อย่างไรก็ตามถ้าหัวใจบีบตัวได้ปกติ โอกาสเกิดหัวใจวายก็น้อย
การรักษา ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ทำได้โดยการรักษาด้วยยา เริ่มด้วยยาคลายเครียด ในกรณีที่จับความผิดปกติไม่ได้ แต่ถ้าพบความผิดปกติจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์อาจให้ยาต้านการเต้นผิดปกติกลุ่มต่าง ๆ หรือยาอื่น ๆ หรือใช้วิธีการจี้หัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงเท่าคลื่นวิทยุและการฝัง เครื่องมือพิเศษ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียด วิตกกังวล พักผ่อนไม่เพียงพอ ออกกำลังกายหักโหม สูบบุหรี่ ดื่มน้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน แอลกอฮอล์ การรับประทานยาหรือฉีดยาที่กระตุ้นหัวใจ เป็นต้น
4) หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง
หลอดเลือดแดงใหญ่ในร่างกายมีหน้าที่นำเลือดแดงจากหัวใจส่งไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย มีความยาวตั้งแต่ในช่องอกจากหัวใจไปจนถึงช่องท้อง ความผิดปกติที่ทำให้เกิดความอ่อนแอของผนังหลอดเลือด ไม่ว่าจะเกิดจากความเสื่อมตามอายุหรือความผิดปกติอื่นใดก็จะมีผลทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นเกิดการโป่งพองและแตกออกได้ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องและในช่องอก
5) หัวใจพิการแต่กำเนิด
เกิดขึ้นเนื่องจากความผิดปกติของการเจริญเติบโตของหัวใจขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โรคหัวใจพิการที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากการมีรูโหว่ที่ผนังกั้นภายในห้องหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบตันหรือรั่ว หลอดเลือดออกผิดจากตำแหน่งปกติ เป็นต้น สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติได้ตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์มารดา โดยการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram)
6) หัวใจรูห์มาติก
พบในเด็กอายุ 7-15 ปี สัมพันธ์กับการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดเบตาฮีโมไลติก สเตร็ปโตคอคคัสที่ลำคอ ซึ่งทำให้คออักเสบ ไข้สูง ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคนี้ ถ้าได้รับเชื้อโรคนี้ซ้ำอีกจะเกิดอาการอักเสบที่หัวใจ โดยเฉพาะลิ้นหัวใจ ปวดบวมที่ข้อ และมีผื่นที่ลำตัว ในรายที่เป็นมากทำให้หัวใจวาย และเสียชีวิตได้ ถ้ามีอาการอักเสบซ้ำหลาย ๆ ครั้งจะเกิดพังผืดขึ้นที่ลิ้นหัวใจจนเปิดไม่เต็มที่หรือปิดไม่สนิท ทำให้ลิ้นหัวใจตีบแคบลงหรือรั่ว
อาการโรคหัวใจในเด็ก
อาการที่พบบ่อยในเด็กที่ป่วยเป็นโรคหัวใจทั้งโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคหัวใจเด็กที่เกิดภายหลังคลอด ได้แก่
• ดูดนมแล้วเหนื่อยง่าย
• หายใจเร็วกว่าปกติ บางรายมีอาการคล้ายหอบหลังออกกำลังกาย
• เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
• น้ำหนักตัวไม่ค่อยเพิ่ม เลี้ยงไม่ค่อยโต หรือเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
• หัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
• เป็นหวัดบ่อยหรือปอดบวมบ่อยกว่าปกติ
• ในบางรายมีตัวเขียวมาแต่กำเนิด หรือเขียวในช่วงหลัง
ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่โยงใย “สุขภาพหัวใจ” โดยตรง
ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจ มักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น
ยิ่งหากใครที่สูบบุหรี่หรือชอบปาร์ตี้ดื่มเหล้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้นไปอีก
ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น เรื่องของโรคประจำตัวและพันธุกรรม ซึ่งหากใครมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือแม้แต่ตนเองเป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่นกัน
สัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” หรือ “หลอดเลือดหัวใจตีบ” ที่ต้องสังเกต
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น “โรคหัวใจ” แล้วหรือยัง?
การจะรู้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือเปล่านั้น จะต้องเข้ารับการตรวจด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ประกอบกันตามความจำเป็น เช่น
หากตรวจแล้วพบข้อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจที่จะบอกได้แน่ชัดที่สุดว่ามีการตีบหรือใกล้ตันในจุดใด คือ การฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ นั่นเอง
ไม่อยากเป็น "โรคหัวใจ" ต้องเริ่มหันมาใส่ใจดูแลตัวเองอย่างจริงจัง
เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้