เครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก นอกจาก “กาแฟ” คือ “ชา” โดยเฉพาะในจีน และญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมการดื่มชามาอย่างช้านาน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ได้พูดถึงประโยชน์ของชาว่า ช่วยเพิ่มความจำได้ มีงานวิจัยที่โด่งดังและเป็นที่ยอมรับของ The National University of Singapore (NUS) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการดื่มชากับการเพิ่มความจำ โดยการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ดื่มชาเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่มทั้งหมด 36 ราย ซึ่งอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งใช้การแปลผลจากภาพที่ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI ของสมอง
ผลปรากฏว่า กลุ่มที่ดื่มชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ หรือแม้แต่ชาอู่หลงเป็นประจำ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการติดต่อสื่อสารระหว่างสมองแต่ละส่วน หรือการเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์ประสาทในสมองแต่ละส่วน (Brain Connection)ได้ จึงช่วยให้เพิ่มความจำ และป้องกันสมองเสื่อมได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่ม
อีกผลงานวิจัยในปี 2022 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine ชี้ให้เห็นว่า ชาอาจช่วยให้ผู้ที่ดื่มมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม
ประโยชน์หลักของชา
นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว “ชา” ยังช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย ดังผลการศึกษาในอดีตของ “จีน” และ “ญี่ปุ่น” ที่ซึ่ง “ชาเขียว” เป็นที่นิยมมากซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพของเราหลากหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชาดำ” ก็ให้ประโยชน์โภชน์ผลที่ไม่ต่างกัน
นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ (U.S. National Institutes of Health) ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มชาของคนวัยผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรจำนวน 500,000 คน ซึ่งเป็นงานวิจัยระยะยาวที่เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 14 ปี! จากสถิติพบว่า “ชาดำ” เป็นชาที่นิยมดื่มมากที่สุดในเกาะอังกฤษ
สำหรับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ก็คือเพื่อศึกษาถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และวิถีการเลือกรับประทานอาหาร ที่มีต่อการดื่ม “ชา” โดยมีการเก็บข้อมูลแยกตามอายุ เชื้อชาติ และเพศ ซึ่งพบว่า การบริโภค “ชา” ในปริมาณมาก คือวันละสองถ้วยขึ้นไป ให้ประโยชน์ในระดับปานกลาง คือช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้ถึง 9%-13% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม “ชา”
ศ.ดร.Maki Inoue-Choi หัวหน้าทีมวิจัยนี้ ระบุว่า ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่ลดลงนั้นเกิดขึ้นจริงกับอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ
“แม้จะไม่มีการค้นพบที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับการดื่มชา และการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เพราะพวกเราไม่มีข้อมูลยืนยันมากพอ” Maki Inoue-Choi กล่าว
เป็นที่ทราบกันทั่วไป ว่า “ชาทุกชนิด” ไม่ว่าจะเป็น “ชาขาว” “ชาเขียว” “ชาดำ-ชาแดง” และ “ชาอู่หลง”ล้วนผลิตจากพืช Camellia Sinensis โดยใช้วิธีการที่แตกต่างกัน แต่ “ชา” ทุกชนิดก็ประกอบด้วยสารโพลีฟีนอลเหมือนกัน
ศ.ดร. Marion Nestle นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์อาหารที่มหาวิทยาลัย New York University ชี้ว่า พวกเราเชื่อว่าโพลิฟีนอลใน “ชา” นั้น น่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะใน “ชาเขียว” ที่ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า สติปัญญาแจ่มใส บรรเทาปัญหาทางเดินอาหาร และอาการปวดศีรษะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชา” มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาถึงผลในการป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ที่อาจเกิดจากการบริโภค “ชาเขียว” ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การศึกษาผู้ดื่ม “ชา” ในอังกฤษนั้น เป็นการสังเกตพฤติกรรมและสุขภาพของผู้คน ที่มักทำให้เกิดคำถามตามมาเสมอว่า ยังมีอะไรอีกบ้างที่ช่วยให้ผู้ดื่มชามีสุขภาพดีขึ้นอีก?
ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. Maki Inoue-Choi ได้ให้ตอบว่า “ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานจากการศึกษาเพียงพอที่จะแนะนำให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มชาของพวกเขา ทว่า หากดื่มชาวันละแก้ว ก็น่าจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ดื่มมากกว่ากาแฟ 1 แก้วอยู่แล้ว”
การดื่มชา มีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง
ดังนั้น การดื่มชาที่ถูกต้องและเพื่อให้ได้ประโยชน์จากชา คือการดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ประมาณวันละไม่เกิน 3 ถ้วย โดยแต่ละครั้งให้ใช้ใบชาประมาณ 1 – 2 ช้อนชาชงในน้ำร้อน และควรดื่มในระหว่างมื้ออาหาร เนื่องจากมีบางรายงานที่ระบุว่าชามีผลยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กในอาหารเมื่อรับประทานพร้อมกัน