โดยบรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก มีตัวแทนจากร้านอาหารมิชลินมาร่วมงานมากมาย และรางวัล “ดาวมิชลิน” ในแต่ละระดับ มีเกณฑ์การตัดสินจะวัดจาก 5 เกณฑ์หลักๆ ด้วยกัน คือ คุณภาพของวัตถุดิบ, ความโดดเด่นของรสชาติ และเทคนิคการรังสรรค์อาหาร, เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟที่นำเสนอผ่านมื้ออาหาร, ความคุ้มค่าสมราคา, ความคงที่ของรสชาติ
ความหมายของระดับดาวมิชลินแต่ละดวง
1 ดาว : High quality cooking, Worth it Stop !
ร้านอาหารที่ดีมีคุณภาพ การปรุงรสชาติสม่ำเสมอ ควรค่าแก่การหยุดแวะชิมระหว่างเดินทาง แต่ยังขาดเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำ
2 ดาว : Excellent Cooking , Worth a Detour
ร้านอาหารรสชาติดี คุณภาพเยี่ยม มีการนำเสนอที่พิเศษและไม่ซ้ำใคร เหมาะกับการขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะชิม
3 ดาว : Exceptional cuisine Worth a Special journeys !
สุดยอดร้านอาหารชั้นเลิศ ได้มาตรฐานทั้งรสชาติ เทคนิคการนำเสนอและรังสรรค์อาหารของเชฟที่ไม่เหมือนใคร เป็นร้านที่ควรค่าแก่การตั้งเป็นจุดมุ่งหมายเพื่อวางแผนออกเดินทางไปลองชิมโดยเฉพาะ
ผลรางวัลที่ประกาศออกมานั้น มีดังนี้
ร้านอาหาร ที่ได้รับรางวัล มิชลินสตาร์ 2 ดาว หรือ Excellent cuisine, worth a detour ร้านอาหารยอดเยี่ยมที่ควรค่าแก่การขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะชิม
ร้านอาหาร ที่ได้รับรางวัล มิชลินสตาร์ 1 ดาว หรือ High quality cooking, worth a stop ร้านอาหารคุณภาพสูงที่ควรค่าแก่การหยุดแวะชิม
นอกจากนี้ ยังมี 2 รางวัลพิเศษ ได้แก่
- รางวัลพิเศษ “Service Award” มิชลิน ไกด์ ไทยแลนด์ 2023 ได้แก่ "คุณอุทิศ สองโท" จากห้องอาหารบ้านพระยา โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
- รางวัลพิเศษ “Young Chef Award” มิชลิน ไกด์ ไทยแลนด์ 2023 ได้แก่ "Mr.Davide Garavaglia" จากร้านอาหาร Côte by Mauro Colagreco โรงแรม Capella Bangkok
รางวัลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งมีในปีนี้ ได้แก่
ส่วนรางวัล "Michelin Green star" ส่งเสริมความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหาร โดยผู้คว้ารางวัลนี้ในปี 2566 มี 3 ร้านด้วยกัน ได้แก่ ร้าน PRU (พรุ) ร้านอาหาร 1 ดาวมิชลินในจังหวัดภูเก็ต, ร้านจำปา (Jampa) และ ร้าน Haoma
ใครชื่นชอบร้านไหนก็ตามไปชิมกันได้เลยจ้า