ครั้งหนึ่ง มีคนเคยถาม มาร์กาเร็ต มีด (Margaret Mead) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันว่า สำหรับเธอแล้ว หมุดหมายที่ชี้ชัดว่าสังคมใดสังคมหนึ่งนั้นมี ‘อารยธรรม’ (civilized) แล้วคืออะไร และคำตอบของเธอนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของหลายๆ คน เมื่อเธอบอกว่า สัญญาณแรกของการมีอารยธรรมคือการที่กระดูกต้นขาของมนุษย์ที่หัก—ไม่ว่าจะด้วยอุบัติเหตุหรือจากเงื่อนไขใดๆ—ได้รับการสมานในที่สุด
มีดให้เหตุผลว่า ในสังคมสัตว์ป่า หากสัตว์ได้รับบาดเจ็บ มันมักถูกล่าหรือถูกกินก่อนที่กระดูกท่อนนั้นจะสมานหรือเชื่อมกันติดอีกครั้ง กล่าวคือมันไม่มีทางหายดีได้ทันก่อนจะถูกฆ่าเป็นอาหาร ดังนั้น การที่มีร่องรอยว่ากระดูกต้นขาของมนุษย์ในอดีตเชื่อมต่อกันได้อีกครั้งหนึ่งนั้นย่อมเป็นสัญญาณว่าผู้บาดเจ็บได้รับการปกป้องจากคนในสังคมจนกลับมาหายดีอีกครั้ง ดังนั้นแล้ว ”การช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความยากลำบากย่อมเป็นจุดเริ่มต้นแรกของการมีอารยธรรม”
คำตอบของมีดถูกบอกเล่าหลายต่อหลายครั้ง พร้อมกันกับที่อีกหลายคนก็สำรวจคำตอบอื่นๆ ของเธอผ่านสารคดีและบทสัมภาษณ์เก่าๆ เมื่อเธอถูกถามว่า เมื่อไหร่กันที่วัฒนธรรมเริ่มกลายเป็นอารยธรรม และมีดตอบว่า “มองย้อนกลับไปในอดีต เราเรียกสังคมที่มีอารยธรรมก็จากการที่พวกเขามีเมืองใหญ่โต มีระดับขั้นทางสังคมซับซ้อน มีบทบันทึกต่างๆ สิ่งเหล่านี้เองที่สร้างอารยธรรมขึ้นมา”
คำตอบของมีดและความหมายที่เธอมองคำว่า ‘อารยธรรม’ ปรากฏขึ้นมาในสำนึกอยู่หลายครั้งระหว่างที่ดู Kingdom of the Planet of the Apes (2024) หนังจากแฟรนไชส์ Planet of the Ape กำกับโดย เวส บอลล์ (Wes Ball) คนทำหนังซึ่งเป็นที่คุ้นตากันดีจากแฟรนไชส์ The Maze Runner (2014-2018) และจะว่าไป บอลล์ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องในการทำหนังที่พูดถึงโลกซึ่งฝูงวานรเป็นใหญ่ เมื่อพิจารณาจากไตรภาค The Maze Runner หนังที่ว่าด้วยโลกที่เด็กหนุ่มสาวถูกจับไปขังรวมกันเพื่อให้เอาตัวรอดออกจากมาเขาวงกตมรณะ เพราะ Kingdom of the Planet of the Apes ก็พูดถึงโลกล่มสลาย (dystopia) เช่นกัน โดยหนังเล่าถึงโลกหลายร้อยปีหลังจากที่ ซีซาร์ ชิมแปนซีที่เป็นผลจากการทดลองของมนุษย์ผู้ก่อการปฏิวัติและกลายเป็นผู้นำของเหล่าวานร ภายหลังจากนั้นวานรแบ่งออกเป็นหลายเผ่า ปกครองกระจัดกระจายกันต่างถิ่น มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตโง่เขลาไม่รู้ภาษา โนอา ชิมแปนซีหนุ่มต้องทำพิธีกรรม ‘เก็บไข่’ นกอินทรีซึ่งทำรังอยู่บนที่สูงลิ่วและยากต่อการปีนป่ายเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเติบใหญ่ และภายหลังจากการทุ่มทั้งชีวิตจนเก็บไข่อินทรีมาได้จากจุดยอดของผา โนอาก็พบว่าหมู่บ้านของเขาถูกวานรอีกเผ่าหนึ่ง—ที่นำทัพโดยกอริลลา—เผาราบเป็นหน้ากลอง พ่อของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าถูกสังหาร ขณะที่แม่, เพื่อน, และสมาชิกอื่นๆ ในเผาถูกพาตัวไปเป็นเชลย
โนอาจึงออกเดินทางเพื่อล้างแค้นและตามครอบครัวเขากลับมาอีกหน ระหว่างนั้น เขาเจอ รากา อุรังอุตังที่ทำหน้าที่ดูแลองค์ความรู้อันได้แก่บรรดาตำราและหนังสือจาก ‘โลกเก่า’ หรือคือโลกในยุคสมัยของซีซาร์ พร้อมกันนี้ ทั้งสองพบว่าพวกเขาถูกมนุษย์เพศหญิงติดตามอย่างใกล้ชิด ด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอและโง่เขลา รากาจึงยื่นผ้าห่มให้เธอ ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งโนอาและรากาพบว่าแท้จริงแล้วหญิงสาว—หรือคือ เม—ไม่ได้ไร้สติปัญญาดังที่เข้าใจแต่แรก หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตเฉลียวฉลาดที่สื่อสารได้ ทั้งยังมีเป้าประสงค์ในการออกเดินทางชัดเจน ไม่นานพวกเขาก็ถูกวานรกลุ่มที่ทำลายเผ่าของโนอาจับมาเป็นเชลยยังเกาะแห่งหนึ่งซึ่งปกครองโดย พร็อกซิมัส ซีซาร์ วานรที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ เป้าหมายของพร็อกซิมัสคือการเข้าถึง ‘คลังความรู้’ ของมนุษย์จากโลกเก่าที่ถูกปิดตายอยู่บนเกาะ และดูเหมือนมันจะเชื่อมั่นเหลือเกินว่าโนอาจะเป็นผู้ที่เปิดประตูดังกล่าวออกได้
ว่าไปแล้ว Kingdom of the Planet of the Apes ก็ดูฉายภาพการเดินทางของ 'วิวัฒนาการ' ในสังคมได้เป็นอย่างดี ตัวละครเกิดในอนาคตที่ระเบียบต่างๆ ในโลกไม่เป็นอย่างเคย วานรสนทนากันด้วยภาษาและไวยากรณ์เรียบง่าย หากแต่แฝงกระบวนการคิดและการใช้เหตุผลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีระบบคิดซับซ้อน เช่น การที่โนอาเข้าใจเรื่องความอาวุโสและลำดับขั้นต่างๆ ในเผ่า, การมีพิธีกรรมอย่างการเก็บไข่อินทรี หรือแม้แต่การที่เผ่าเองเลี้ยงอินทรีทั้งในฐานะสัญลักษณ์และในฐานะสัตว์เลี้ยงคู่ใจ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากว่าสังคมนั้นๆ ไม่มีวัฒนธรรมซึ่งเป็นบ่อเกิดสำคัญของ 'อารยธรรม' ในทางกลับกัน มันย่อมหมายถึงการไล่ล่าเอาชีวิตโดยมีเหตุผลอยู่เหนือไปจากฆ่าเพื่อกินอย่างที่สัตว์ส่วนใหญ่เป็น ฝูงวานรกลุ่มใหญ่ล้างบางเผ่าของโนอาแล้วพาสมาชิกที่เหลือทั้งหมดกลับไปเป็นเชลย นี่ย่อมฉายให้เห็นภาพของกระบวนการคิดที่ซับซ้อนอีกขั้น เพราะวานรไม่ฆ่าและเลือกเก็บเหยื่อไว้เพื่อใช้เป็นแรงงานบนเกาะต่อไป
ทว่า ฉากที่ทำให้ผู้เขียนนึกถึงวาทะของมีดคือเมื่อ รากา อุรังอุตังชราแนะให้โนอาส่งมอบผ้าห่มให้มนุษย์หญิงเพราะเธอหนาว ชวนนึกถึงคำตอบของมีดที่ว่า สัญลักษณ์แรกที่ชี้ให้เห็นว่าเรามีอารยธรรมคือการเอื้ออาทร ประคับประคองกันและกันให้อยู่รอดต่อไป โดยเฉพาะเมื่อมนุษย์ถูกปฏิบัติด้วยความเข้าใจว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและปกป้องดูแลตัวเองไม่ได้—ซึ่งด้านหนึ่งก็จริง เพราะหนังฉายให้เห็น 'พลัง' ของความเป็นสัตว์ป่าอยู่หลายครั้ง หนึ่งในนั้นคือกล้ามเนื้อแขนขาของวานรที่ใช้ปีนป่าย—มนุษย์จึงไม่มีสถานะอื่นนอกไปเสียจากการเป็นภาระในการเดินทางของโนอา
หากแต่หนังก็เข้มข้นขึ้นเมื่อถึงที่สุดแล้ว เธอไม่ใช่มนุษย์ที่กลายเป็น 'สิ่งมีชีวิตในป่า' แบบเดียวกับมนุษย์ทั่วไปที่หนังฉายให้เห็น ทว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิที่อ่านออกเขียนได้ พูดสื่อสารได้ และคำแรกที่เธอเลือก 'แสดงตน' ว่าพูดได้คือการเรียกชื่อของโนอาเพื่อขอความช่วยเหลือ ชวนให้นึกถึงฉากที่ซีซาร์จาก Rise of the Planet of the Apes (2011) พูดคำแรกว่า "ไม่" หรือ "No." เพื่อแสดงเจตจำนงในการปฏิเสธชะตาชีวิตในกรอบกรงที่มนุษย์ยัดเยียด
อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกับที่มีดกล่าวในอีกบทสัมภาษณ์หนึ่งว่า สัญลักษณ์ของการมีอารยธรรมนั้นคือการมีระดับขั้นทางสังคมอันซับซ้อน เพราะโนอาและเพื่อนร่วมทางถูกจับไปอยู่ในเกาะซึ่งปกครองโดยวานรที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ทรราช อ้างคำสอนเก่าแก่ของซีซาร์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ดังนั้นจะว่าไปแล้ว อีกด้านหนึ่งของพัฒนาความคิดไปสู่ขั้นสูงกว่าคือความอำมหิต การสามารถ 'คิด' เพื่อสร้างเชลยและนักโทษในการใช้แรงงาน ออกแบบระบบระเบียบที่ทำให้ผู้ใต้ปกครองก้มหน้าจำยอม วานรเป็นทาสที่ใช้แรงงาน มนุษย์เป็นทาสในฐานะตัวตลกและผู้สร้างสีสันของกษัตริย์ ซึ่งโนอาก็ลุกขึ้นสู้และทำลายระบอบการปกครองนี้ในที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ตรึงใจที่สุดในเรื่องคือ ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอทางด้านร่างกายที่สุดในบรรณพิภพ มนุษย์เลือกลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ และอาวุธแรกๆ ที่พามนุษยชาติในอดีตไปสู่การยึดครอง ไปสู่การออกล่าและสร้างอาณานิคม ไปสู่การพิชิตดินแดนในสมรภูมิแห่งใหม่คือ 'ปืน' ปืนในเรื่องทรงพลังเสียยิ่งกว่าไม้ช็อกติดไฟฟ้าของพร็อกซิมัส มันสังหารผู้อื่นจากระยะไกลและหวังผลได้ ทั้งยังรวดเร็วและเสียแรงน้อยที่สุด ปืนจึงกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ฉายให้เห็นการมีพัฒนาการและผ่านกระบวนการคิดของมนุษย์ในอดีตมาอย่างยาวนาน ทั้งยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จะว่าไปแล้วก็ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป้าหมายเดียว—นั่นคือการทำลายล้าง
Kingdom of the Planet of the Apes จึงชวนสำรวจแง่มุมของการวิวัฒน์ของสิ่งมีชีวิต ที่แม้ด้านหนึ่งมันจะหมายถึงการพัฒนาและความเข้าอกเข้าใจกันและกัน สร้างวัฒนธรรมและพิธีกรรมบางอย่างร่วมกัน อีกด้านมันก็อาจหมายถึงความอำมหิตและความปรารถนาในการประหัตประหารกันอย่างถึงที่สุดก็ได้
ข้อมูลอ้างอิง