หน้าหนาวแบบนี้ผมเลือกเดินทางมาซูโจว เมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ในมณฑลเจียงซู เพราะเพื่อนแนะนำหลังอยู่เซี่ยงไฮ้มาสองวัน เดินทางจากเซี่ยงไฮ้ด้วยรถไฟ เพราะสะดวกไม่แพง นั่งชั้นประหยัด 50 หยวน ประมาณ 250 บาท ไม่ถึงชั่วโมงห่างออกไปประมาณ 100 กิโลเมตรก็ถึง (ให้ชัวร์ว่ามีตั๋วให้จองผ่านเว็บ ctrip.com ก็ได้ครับสะดวก เสียค่าบริการเล็กน้อย)
ถึงซูโจวแล้วจะมีจุดบริการข้อมูลท่องเที่ยว พนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ก็ปรึกษาสถานทีเพราะมีเวลา 1 วันไม่ค้าง ผมเลือกที่จะไปถนนและคลองซานถัง อายุ 1200 ปี โดยใช้รถบัสโดยสารของเมือง ราคา 2 หยวนหรือ 10 บาท ค่าบริการรถสาธารณะที่จีนถูกครับบริการประชาชน
"ซูโจว" เป็นเมืองที่เจริญทีเดียว มีระบบสาธารณะเป็นระบบ ผสมผสานความเจริญและอนุรักษณ์ความเก่าแก่ได้ลงตัว เมื่อผ่านใจกลางเมืองแล้วเดินเข้าไปในเขตถนนและคลองซานถัง ยาว 7 ลี้ (ประมาณ 3.8 กิโลเมตร) เค้าอนุรักษณ์ตึก ถนน สะพาน ที่ทำด้วยหินแบบเดิมไว้อย่างดงาม เป็นบรรยากาศริมน้ำอีกด้วย จุดๆนจึงี้มักมีคู่รักมาถ่ายพรีเวดดิ้งก่อนแต่งงาน และถ่ายละครภาพยนต์ย้อนยุคเป็นประจำ เห็นบ้านเก่าๆ โคมไฟแดง อากาศที่เย็น ทำให้เราอินกับคนท้องถิ่นและประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน โซนที่ติดกับเมืองเป็นลักษณะท่องเที่ยวเชิงอนุรักษณ์นี้ทำให้อินกับความโรแมนติกของซูโจวไม่น้อยทีเดียว
สักพักผมเดินออกไปอีกเรื่อยๆ เพราะอยากเห็นวิถีชีวิตท้องถิ่นจริงๆของคนที่นี่ว่าอยู่กันอย่างไรในโซนที่ไม่มีนักท่องเที่ยวนัก ช่วงบ่ายที่วัดมีคนไปสวดมนต์ คนสูงอายุก็นั่งล้อมวงคุยกันเล่นหมากรุกจีน ร้านทำขนมทำบะหมี่สดๆ ดึงยืดแป้งแบบดั้งเดิม คนตากผ้า ตากเนื้อเค็มกันหน้าบ้านเต็มสองฝั่งถนน ยังมีร้านขายของชำอยู่มาก อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่เห็นสิ่งที่เราคุ้นหูอย่างทำของเรี่ยราด ห้องน้ำมีหลายจุดและตามทางก็สะอาด คนค่อนข้างมีระเบียบอัธยาศัยดี แล้วก็ อ๋อ! ไปสะดุดกับป้ายตามทางและห้องน้ำว่า ร่วมกันเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ความเป็นอารยะก็เพิ่มขึ้นอีกก้าวหนึ่ง เป็นการรณรงค์ที่ได้ผลและน่าชื่นชมครับ
เดินครบเจ็ดลี้ก็ทะลุไปถึงสถานที่สำคัญคือเขาหูชิวหรือเนินเสือ ค่าเข้า 60 หยวนหรือประมาณ 300 บาท เนินเขานี้มีลักษณะคล้ายเสือที่กำลังหมอบ เป็นที่ฝังพระศพของอู๋อ๋องเหอหลู (ยุคตำราพิชัยซุนวูสมัยก่อนคริสตกาล) โดยมีตำนานว่าขณะนั้นมีเสือขาวมาคอยเฝ้าหลุมศพไม่ห่าง และเป็นที่ตั้งของ "หอเอนเมืองซูโจว" หรือ "เจดีย์หยุนหยาน" อายุกว่า 1600 ปี (ตั้งก่อนหอเอนเมืองปีซ่าอันโด่งดังกว่า 380 ปี) สร้างสมัยราชวงศ์ซ่ง ทำด้วยอิฐผสมดินหนักถึง 7 พันตัน ดินที่อ่อนบริเวณนี้รับน้ำหนักไม่ไหวจึงต้องเอียง รัฐก็ฉีดคอนกรีตไปที่ฐานเสริมความแข็งแรง ตั้งตระหง่าทนทานมานานหลายยุค อยู่จุดสูงแบบนี้ยังรอดผ่านการทิ้งระเบิดทั้งจากสงครามกับญี่ปุ่นและสงครามในประเทศจนเป็นมรดกประจำชาติจีนไปแล้ว เจดีย์เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาทำให้มีวัดและพระพุทธรูปที่งดงามอยู่บริเวณยอดเนินนี้
เพลิดเพลินความคลาสสิคสวยงามและบรรยากาศจากบ่ายจนจะค่ำซะแล้ว ถ้าไปสวนหว่างซือมรดกโลกคงปิดซะแล้ว เลยตัดสินใจเสี่ยงดวงนั่งชัทเทิลบัสข้ามฟากเมืองจากทิศเหนือไปตะวันออก ไปที่ประตูผานเหมิน เพราะคิดว่าถึงปิดแล้วห้าโมงเย็น แต่คงจะถ่ายรูปข้างนอกได้ แต่พอไปถึงมีเวลาใกล้ปิด ค่าเข้าชม 40 หยวน ประมาณสองร้อยบาท คงเพราะจะปิดเจ้าหน้าที่ก็ใจดีให้เข้าฟรีครับ ใครชอบหนังจีนโบราณต้องนึกถึงประตูเมืองใหญ่ๆที่เป็นปราการสุดท้ายป้องกันเมือง "ประตูผานเหมิน" อีกแลนด์มาร์คในซูโจว คาดมีอายุราว 2500 ปี สร้างสมัยแคว้นอู๋ (ถ้านับโครงสร้างสุดท้ายที่เสร็จราว 1700 ปี)
แค่เข้ามาก็รู้สึกขลังขนลุกเพราะผ่านศึกสงครามนับต่อนับ ไม่รู้กี่ชีวิตต้องสูญเสียที่จุดนี้ ตัวเรือนบนประตูเมืองเป็นที่บัญชาการของแม่ทัพเจ้าเมืองพังลงจากสงครามและสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน แต่กำแพงเมืองที่ทำจากอิฐหินนี้เป็นที่เดียวของเมืองที่ยังสมบูรณ์ทนทานถึงปัจจุบัน เป็นประตูเมืองทั้งภาคพื้นและทางน้ำอีกด้วย ประตเมืองมี 2 ชั้น ถ้าชั้นแรกโดนตีแตก ยังคงมีอีกชั้นให้ต้านทานข้าศึกก่อนถึงเมืองชั้นใน แสดงถึงความฉลาดของคนสมัยนั้น
เชื่อมกันมีเจดีย์รุ่ยกวน คาดอายุกว่า 2200 ปี เจดีย์ไม้ฐานอิฐนี้สวยงามอยู่ใกล้ประตูเมือง เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาฝั่งมหายาน ตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนแต่งแบบโบราณที่สวยงาม บรรยากาศหนาวเย็น ถ้ามีคนเดินจับมือไปด้วยจะโรแมนติกยิ่งนัก (เริ่มมโน) ฝั่งสวนนี้ปิดค่ำๆเลยครับ
เดินมาทั้งวันก็เหนื่อยครับ เลยไปนวดแผนจีนและครอบแก้วร้อนหน่อย ขอบอกสุดยอดร้านนวดนี้ อุดหนุนพี่เค้าได้ครับ นวดเสร็จก็หิว ไปทานอาหารจีนดีกว่า แต่คนทานมังสวิรัติอย่างผม ทานอะไรก็ต้องเลือกหน่อย เลยใช้เวลาคุยแบบดำน้ำบุ๋มๆกับคนในร้าน จนได้เมนูจานเด็ดอร่อยๆมา อาหารเรียกน้ำย่อย เห็ดหูหนูน้ำส้มสายชูเย็น ออกเปรี้ยวนิดๆ กับหมี่ผัดน้ำซอสและมันฝรั่งผัดก็อยู่ได้แล้วอร่อยยยยย
สามทุ่มก็ได้เวลานั่งรถไฟกลับเซี่ยงไฮ้ ก่อนนั่งเครื่องกลับไทยแล้วสิครับ แชร์ประสบการณ์นี้ดนึง รถไฟที่นี่ออกตรงเวลามากๆ ไม่มีรอเลย ขากลับนี่ออกก่อนเวลาสองนาทีด้วยซ้ำ ผมนี่ตกรถไฟ ทำไงดี! ยังดีที่สื่อสารกับเจ้าหน้าที่ประจำราง (พูดอังกฤษไม่ได้ สื่อกันด้วยภาษากาย) เค้าคงเข้าใจว่าไม่มีใครเลยปล่อยรถไฟออกก่อน เลยรีบประสานว่ายังมีรถไฟอีกขบวนเวลาไล่เลี่ยกันมาให้ขึ้นนั่งเลยกลับเซี่ยงไฮ้ไม่ตกเครื่องกลับไทยครับ เอาหล่ะพาเที่ยวซูโจวแล้ว
คราวหน้ามีโอกาสจะมาเขียนบทความลงเว็บอีกนะครับ สุขสันต์ Valentines Day ขอให้ทุกท่านได้รับความรักทั่วหน้าจากครอบครัว ญาติๆ คนรอบข้าง พี่น้อง และรักตัวเองให้มากๆ มีความสุขมากๆๆๆครับ