
ภาคเอกชน ส่งหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้กรมธนารักษ์ ชะลอการคัดเลือกบริษัทเอกชน เช่า/บริหาร ระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกโดยเจาะจงเพียงบางราย ซึ่งวิธีดังกล่าวจะกระทบต้นทุนราคาน้ำในอนาคต ส่งผลต่อความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ EEC และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการกำหนดราคาน้ำในอนาคต ควรให้มีคณะกรรมการควบคุมราคาน้ำ ให้เหมาะสม
25 สิงหาคม 2564 สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหนังสือถึง เลขาธิการคณะกรรมการ EEC ว่า นายกรัฐมนตรี รับทราบข้อเสนอภาคเอกชนแล้ว มอบให้รองนายกรัฐมนตรี สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กำกับติดตามแนวทางแก้ปัญหา
โครงการคัดเลือกเอกชนในการจัดให้เช่า/บริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก กรมธนารักษ์ มีหนังสือเชิญบริษัทที่มีคุณสมบัติเพียง 3 ราย ให้มายื่นข้อเสนอเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือก
30 กันยายน 2564 คณะกรรมการที่กรมธนารักษ์ตั้งขึ้น ประชุมและมีมติเลือกเอกชนรายใหม่ โดยไม่ฟังเสียงโต้แย้งจากลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม EEC ที่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี ว่าไม่ควรเร่งรีบเปิดประมูล เพราะไม่ก่อให้เกิดการแข่งขัน เพื่อประโยชน์ของประเทศอย่างแท้จริง ทั้งส่งผลต่อความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ EEC
การประมูลครั้งนี้ อายุสัญญา 30 ปี กรมธนารักษ์ จะได้รับผลตอบแทนตลอดระยะเวลา 30 ปี เป็นเงิน 1 หมื่น 5 พันล้านบาท
ดังนั้น บริษัท อิสท์ วอเตอร์ ที่การประปาส่วนภูมิภาคถือหุ้นใหญ่ และเป็นเอกชนรายเดิมที่บริหารโครงการฯ เมื่อแพ้การประมูล จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเนื่องจากมองว่า ครม. เคยมีมติให้กรมธนารักษ์ เจรจากับรายเดิมก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดไม่น้อยกว่า 3 ปี
บริษัท อิสท์ วอเตอร์ ฟ้องว่า แม้จะใกล้สิ้นสุดอายุสัญญาในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 แต่เป็นพันธะของกรมธนารักษ์ ที่จะต้องพิจารณาจัดทำสัญญาฉบับใหม่เพื่อให้บริษัทรายเดิมเป็นผู้ใช้ และบริหารโครงการท่อส่งน้ำต่อไปตามมติครม. เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำในภาคตะวันออก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศได้
ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาค ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อิสท์ วอเตอร์ มองว่า แม้จะอยู่ในสถานะถือหุ้น แต่ไม่สามารถแทรกแซงบริษัทได้
การเปิดประมูลของกรมธนารักษ์ ครั้งนี้ อยู่ในความสนใจของเอกชนที่อยู่ในเขต EEC ความผิดปกตินี้ ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ บอกกับ สืบสวนความจริง ว่า มีข้อพิรุธที่การยกเลิกผลการคัดเลือด แล้วคัดเลือกเอกชนรายใหม่ ซึ่งให้ผลประโยชน์ตอบแทนน้อยกว่าบริษัท อิสท์ วอเตอร์ จึงเป็นข้อพิรุธ ที่สลับซับซ้อน และต้องการให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ
สำหรับหลักฐานที่จะเสนอ ป.ป.ช. มีทั้ง TOR และหลักฐานการเสนอราคาต่อกรมธนารักษ์ จึงขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบกรมธนารักษ์ และประธานคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก น่าจะเข้าข่าย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และพระราชบัญญัติการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐ หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว
ล่าสุด 18 พฤศจิกายน 2564 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำขอคุ้มครองชั่วคราวของ อิสท์ วอเตอร์
“ประภาศ คงเอียด” อธิบดีกรมธนารักษ์ ให้สัมภาษณ์หลังทราบคำสั่งศาลปกครอง ทำให้กรมธนารักษ์ สามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ ส่วนจะลงนามสัญญาเอกชนรายใหม่เมื่อใดนั้น ต้องพิจารณารายละเอียดว่าจะดำเนินการได้แค่ไหนอย่างไร
สำหรับโครงการนี้ สืบสวนความจริง ตั้งประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ ครม.มีมติให้กรมธนารักษ์ ต้องเจรจากับบริษัทรายเดิมก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุดไม่น้อยกว่า 3 ปี นอกจากนี้ การดำเนินการคัดเลือกครั้งนี้อาจจะไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการให้การดำเนินการมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และให้บริการน้ำในภูมิภาค
เมื่อเป็นนี้ “ประภาศ คงเอียด” อธิบดีกรมธนารักษ์ จะกล้าเดินหน้าเซ็นสัญญา กับเอกชนรายใหม่ ฝ่ามติคณะรัฐมนตรี หรือไม่