จากสถิติเกี่ยวกับการบาดเจ็บของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากการพลัดตกหกล้มสูงถึงปีละ 1,600 คน ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ในกลุ่มของการบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจหรืออุบัติเหตุ (Unintentional) รองจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน
โดย 1 ใน 3 พบว่ามักอยู่ใน “กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป” และความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ โดยในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการหกล้ม 28-35% ส่วนในผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการหกล้มเพิ่มขึ้นเป็น 32-42% ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยของผู้สูงอายุที่ได้รับอุบัติเหตุดังกล่าว คือกระดูกสะโพกแตกหัก หรืออุบัติเหตุทางสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีอัตราการความพิการและอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูงมาก
การเกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุมักมีสาเหตุจากความเสื่อมและการถดถอยของร่างกาย อีกทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นผลให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ลดลง สำหรับอุบัติเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุก็คือ “การลื่นล้ม” เช่น ลื่นล้มในห้องน้ำ การตกเตียง ตกบันได เป็นต้น ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 65–75 ปี การบาดเจ็บที่พบบ่อยของผู้สูงอายุที่ได้รับอุบัติเหตุดังกล่าว ได้แก่ “การหักของกระดูกสะโพก” ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีอัตราการความพิการและอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง เนื่องจากผู้สูงอายุมักจะมีภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุน เมื่อหกล้มกระดูกจึงเกิดการแตกหรือหักได้ง่าย ดังนั้น ผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกสะโพกหักจึงจำเป็นต้องได้รับการป้องกันการเกิดกระดูกหักซ้ำภายหลังการผ่าตัดร่วมด้วย
อีกปัญหาหนึ่งที่พบได้จากการหกล้มของผู้สูงอายุคือ “การบาดเจ็บที่ศีรษะ” ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเลือดคั่งในสมองที่สูงขึ้น โดยอาการแสดงที่มีอาจไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงที่ได้รับ ผู้สูงอายุที่ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะจึงควรได้รับการตรวจประเมินโดยแพทย์โดยเร็ว และพิจารณาส่งตรวจสมองด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) รวมถึงการสังเกตอาการในโรงพยาบาลตามข้อบ่งชี้
ในแต่ละปี 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมักประสบการณ์ลื่นล้มและครึ่งหนึ่งลื่นล้มมากกว่า 1 ครั้ง ร้อยละ 10 ของการลื่นล้มทำให้กระดูกสะโพกหัก ร้อยละ 25 ของการบาดเจ็บกระดูกสะโพกเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต การลื่นล้มมักเกิดขึ้นในที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในห้องน้ำและบันได พบว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วยที่กระดูกหักในครั้งแรกไม่เคยตรวจหรือรักษาโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุที่เคยหกล้มในครั้งแรกมีแนวโน้มที่จะหกล้มเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
นอกจากนี้ มีผู้ป่วยกระดูกหักจากการลื่นล้มที่บ้านเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ มีโรคประจำตัว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ บางรายมีไตวายเรื้อรัง ดังนั้น จึงทำให้การดูแลรักษาซับซ้อนมากขึ้น และขณะอยู่ในโรงพยาบาลก็เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลกดทับ ปอดบวม ติดเชื้อในระบบต่างๆ เป็นต้น
ลื่นล้ม “กระดูกหัก” เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
หนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สร้างความทรมานในการใช้ชีวิต คือ “กระดูกหัก” ซึ่งกระดูกหักในผู้สูงอายุนั้นมีภัยเงียบที่เป็นสาเหตุหลักของกระดูกหัก คือ โรคกระดูกพรุน เพราะไม่พบอาการใดๆ มาพบอีกทีเมื่อล้มแล้วเกิดกระดูกหักขึ้น โดยแต่ละปี 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมักมีการลื่นล้มและครึ่งหนึ่งลื่นล้มมากกว่า 1 ครั้ง เมื่อผู้สูงอายุหกล้ม ร้ายแรงที่สุดก็คือ 20% ของผู้สูงอายุหกล้มแล้วกระดูกสะโพกหัก อาจมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ภายใน 1 ปี ดังนั้น ผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกสะโพกหักจึงจำเป็นต้องได้รับการป้องกันการเกิดกระดูกหักซ้ำภายหลังการผ่าตัดร่วมด้วย
อาการที่สงสัยว่ามีกระดูกสะโพกหักหลังจากหกล้ม ได้แก่
หากญาติพบผู้ป่วยหกล้มและสงสัยกระดูกสะโพกหักให้ผู้ป่วยพักในท่าที่สบาย พยายามอย่าเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และโทรเรียกรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปตรวจโดยเร็ว การรักษาผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกหักจากการพลัดตกหรือหกล้มนั้นให้ความสำคัญกับกระดูกสะโพกเป็นหลัก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาหรือผ่าตัดภายใน 24–48 ชม.
ลื่นล้มบาดเจ็บที่ “ศีรษะ” ให้พบแพทย์โดยเร็ว
ปัญหาหนึ่งที่อาจพบได้จากการหกล้มของผู้สูงอายุคือ การบาดเจ็บที่ศีรษะ (Traumatic Brain Injury) ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเลือดคั่งในสมองที่สูงขึ้น ผู้สูงวัยมักหกล้มง่ายเนื่องจากระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานประสานกันไม่ดี มักเดินช้า ตามองไม่ชัด การได้ยินเสียงและความจำไม่ดี รวมทั้งมีอาการเวียนศีรษะจึงพลัดตกหกล้มได้ง่าย นอกจากนี้บางรายรับประทานยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin (Coumadin), Clopidogrel (Plavix) ซึ่งทำให้เลือดออกไม่หยุดเมื่อเกิดบาดเจ็บ มีความเสี่ยงให้เกิดสมองกระเทือนหรือสมองช้ำ มีเลือดคั่งในกะโหลกศีรษะได้
ผู้สูงอายุที่ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะจึงควรได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์โดยเร็ว การสังเกตอาการในโรงพยาบาลตามข้อบ่งชี้ อาทิ ระดับความรู้สึกตัว มีแขนขาอ่อนแรง ตาพร่า ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน มีความจำหรือพฤติกรรมเปลี่ยนไป ฯลฯ หากมีอาการรุนแรงแพทย์จะพิจารณาส่งตรวจสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT หรือ MRI ดังนั้นทีมแพทย์ระบบประสาทจะตรวจเช็กทุก 1 – 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ หากผู้ป่วยจำเป็นต้องผ่าตัดสมองเพื่อระบายเลือดที่กดเนื้อสมองออก ในบางรายที่มีภาวะสมองบวมหรือช้ำ ไม่เป็นก้อนเลือดชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดสายวัดแรงดันในกะโหลกศีรษะ เพื่อเฝ้าดูการความเปลี่ยนแปลงของแรงดันในกะโหลกศีรษะ
ดังนั้น ลูกหลานจึงควรตรวจประเมินความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ โดยสังเกตความผิดปกติดังต่อไปนี้
อย่างไรก็ตาม ในครอบครัวที่มีผู้สูงอายุในบ้านควรระมัดระวัง ทันทีที่ล้มควรพามาพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กว่ากระดูกหักหรือไม่ และสมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่าคิดไปเองว่าอาการลุกยืนเดินไม่ได้เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามปกติ หรือเกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคสมองเสื่อม โรคซึมเศร้า เป็นต้น หากมีศีรษะกระแทกและไม่รู้สึกตัวให้นอนในท่าเดิมและเรียกรถพยาบาล แต่ถ้าผู้ป่วยรู้ตัวดีและมีอาการปวดต้นคอร่วมด้วยให้นอนราบไม่หนุนหมอน เรียกรถพยาบาล พยายามขยับผู้ป่วยให้น้อยที่สุด
แนวทางการป้องกันการลื่นล้มในผู้สูงอายุ
1. ส่งเสริมการออกกำลังกายให้กับผู้สูงอายุ
โดยการเลือกท่าทางเพิ่มความคงทนของกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกและข้อ ช่วยเรื่องการทรงตัวหรือการเดิน ผลลัพธ์ที่ได้คือร่างกายแข็งแรง เคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วมากขึ้น ทำให้อัตราการหกล้มลดลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเลือกท่าทางให้เหมาะกับบุคคลด้วย คือต้องรู้ว่าบุคคลนั้นมีปัญหาด้านไหนอยู่ก่อนหรือไม่ เช่น ถ้าหากมีปัญหาเข่าเสื่อมควรหลีกเลี่ยงการวิ่ง เป็นต้น
2. การปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในและรอบบ้าน
เช่น เลือกวัสดุพื้นที่ไม่ลื่นและไม่ต่างระดับ หลีกเลี่ยงการใช้พรมหรือเสื่อ หากต้องการใช้จะต้องดูแลให้เรียบอยู่เสมอ จัดระเบียบสายไฟให้เรียบร้อย ดูแลเรื่องแสงสว่างให้เพียงพอ เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ได้แก่ ส้นเตี้ย หน้ารองเท้ากว้าง เพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวก รวมถึงการเลือกเฟอนิเจอร์ให้เหมาะกับสรีระผู้สูงอายุ และเลือกให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว
3. การให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ
โดยให้คนรอบข้างผู้สูงอายุ รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงตามวัย สังเกตว่าผู้สูงอายุในบ้านมีความเปลี่ยนแปลงในร่างกายด้านไหนบ้าง เช่น เคลื่อนไหวไม่ถนัด ทรงตัวไม่ดี เวียนศีรษะ จากนั้นก็ทำการปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ หากผู้สูงอายุมีโรคประจำตัว ผู้ดูแลต้องรู้วิธีการกินยาที่ถูกต้อง และดูแลให้ผู้สูงอายุกินยาสม่ำเสมอ รวมถึงการสังเกตอาการข้างเคียง หากพบว่ามีควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจต้องปรับเปลี่ยนยา นอกจากนี้ในด้านการเปลี่ยนแปลงอริยาบถของผู้สูงอายุจะต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่เปลี่ยนท่าทางเร็ว เพราะจะทำให้เวียนศรีษะ ทรงตัวได้ไม่ดี นอกจากนี้ควรดูแลให้ผู้สูงอายุทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อความแข็งแรงของร่างกาย