ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพล่าสุด คือกรณีก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลในโรงงานแข็ง พื้นที่ จ.ชลบุรี ที่พบผู้มีอาการเจ็บป่วยแล้วกว่า 60 ราย ทั้งคนที่ทำงานอยู่ในโรงงานและชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง ที่มีอาการแสบตา แสบจมูก แน่นหน้าอก บางรายถึงขั้นหมดสติ เรื่องนี้ทำให้หลายคนกังวลในเรื่องของ “แอมโมเนีย” สารเคมีใกล้ตัวกับความเสี่ยงต่อสุขภาพ
แอมโมเนีย (Ammonia) เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นฉุน อยู่ในรูปแบบก๊าซและของเหลว โดยพบได้ตามธรรมชาติและกระบวนการสังเคราะห์ ในปัจจุบันแอมโมเนียมักใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำยาทำความสะอาด ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์อีกหลายภายในบ้าน
สารแอมโมเนีย เป็นสารที่ใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น โรงงานผลิตอาหารทะเลแช่แข็ง การผลิตน้ำยางข้น และเป็นสารทำความเย็นในการผลิตน้ำแข็งและห้องเย็น นอกจากประโยชน์ด้านผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรม “แอมโมเนียความเข้มข้นต่ำ” ยังเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งหลายคนอาจเคยเห็นการปฐมพยาบาลคนเป็นลมด้วยการนำยาดมหรือไม้พันสำลีจุ่มแอมโมเนียให้ผู้ที่เป็นลมสูดดม ซึ่งกลิ่นฉุนและฤทธิ์กัดกร่อนอ่อนๆ ของแอมโมเนียความเข้มข้นต่ำจะทำให้เยื่อบุในระบบทางเดินหายระคายเคืองเมื่อสูดเข้าไปในร่างกาย จึงกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาต่อการหายใจและช่วยให้ผู้ที่เป็นลมหายใจได้ดีขึ้น
แอมโมเนียเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนและทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ เมื่อสัมผัสโดนอาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ระคายเคืองกระจกตา จนสูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดชั่วคราวหรือถาวร และเสียชีวิตได้
ข้อมูลโดย นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวถึงสารแอมโมเนียว่า เป็นสารเคมีที่เป็นอันตรายสูงต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นสารกัดกร่อนผิวหนัง หากสัมผัสหรือเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เจ็บป่วยเฉียบพลัน เมื่อก๊าซแอมโมเนียสัมผัสกับน้ำจะทำให้เกิดปฏิกิริยา มีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อ เยื่อบุต่างๆ ของร่างกายที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแสบตา ตาบวม น้ำตาไหล เวียนหัว ตาลาย อาเจียน ระคายเคืองผิวหนัง แสบคันตามผิวหนัง เป็นแผลไหม้
หากสูดดมเข้าไป ทำให้ แสบจมูก แสบคอ บางรายอาจมีอาการไอ เจ็บหน้าอก ทำให้ปอดบวมน้ำ เสี่ยงหัวใจวาย หากสูดดมก๊าซที่ความเข้มข้นสูงมากจนหมดสติ จะระคายเคืองหลอดลมและถุงลมอย่างต่อเนื่อง มีอาการเหมือนเป็นหืด หรือมีอาการระคายเคืองง่ายขึ้นหลังสูดดมก๊าซหรือฝุ่นอื่นๆ จะส่งผลระยะยาวเป็นเดือนหรือปี ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง และหากได้รับก๊าซแอมโมเนีย ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 1,700 ppm เกิน 30 นาที จะทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ โดยอุบัติเหตุรั่วไหลของแอมโมเนียในประเทศไทย ส่วนใหญ่เกิดจากการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งาน อุปกรณ์ชำรุด เช่น วาล์วรั่ว เกิดความผิดพลาดระหว่างจัดเก็บหรือขนย้ายสารแอมโมเนีย ประเก็นรั่วและขาดการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี
แม้ว่าแอมโมเนียจะมีประโยชน์ในด้านอุตสาหกรรมและการแพทย์ แต่การสัมผัสกับแอมโมเนียปริมาณมากหรือแอมโมเนียความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ เช่น
“การสัมผัส” แอมโมเนียทางผิวหนังและดวงตาจะทำให้บริเวณดังกล่าวแสบร้อน เป็นแผลพุพอง ระคายเคือง น้ำตาไหล ในรายที่รุนแรงอาจเกิดแผลพุพองรุนแรง แผลลึก หรือสูญเสียการมองเห็นเมื่อสัมผัสถูกดวงตา
“การสูดดม” และได้รับแอมโมเนียผ่าน “การรับประทาน “ จะทำให้ปวดแสบปวดร้อนภายในช่องปาก จมูก ลำคอ และลำไส้ ไอ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ในรายที่รุนแรงจะเกิดอาการบวมและเป็นแผลไหม้รุนแรงบริเวณริมฝีปาก ช่องปาก ลำคอ หายใจติดขัด หายใจไม่ออก หมดสติ และเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ผู้ที่สัมผัสและทำงานเกี่ยวข้องกับแอมโมเนียต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
วิธีป้องกันก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล
สำหรับผู้ประกอบการโรงงานต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ใช้อุปกรณ์ที่ได้รับมาตรฐานสากล ดูแลรักษา ซ่อมบำรุงอุปกรณ์อยู่เสมอ ดังนี้
ในการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล สามารถทำได้ดังนี้
ก่อนเกิดเหตุ ถ้าอยู่ใกล้โรงงานในระยะ 1 กิโลเมตร ต้องคอยสังเกตความผิดปกติ ถ้าเห็นควันสีขาวจากโรงงาน รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
ขณะเกิดเหตุ ไม่วิ่งไปทางใต้หรือเหนือลม แต่ตั้งฉากออกจากทิศทางลม ไม่ใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากและจมูก เพราะอาจได้รับก๊าซมากขึ้น เนื่องจากแอมโมเนียละลายน้ำได้ดี ควรใช้ผ้าแห้งและหนาปิดแทน
การปฐมพยาบาล “การสูดดม” แอมโมเนีย
การปฐมพยาบาล “การสัมผัส” แอมโมเนียทางผิวหนัง
การปฐมพยาบาล “การรับประทาน” แอมโมเนียทางปาก
การปฐมพยาบาลแอมโมเนีย “สัมผัสดวงตา”
ทั้งนี้ หลังจากปฐมพยาบาลเบื้องต้น แนะนำให้สังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง โดยหลังเกิดเหตุให้สังเกตตัวเองเป็นเวลา 1 เดือน ว่ามีอาการไอ แสบคอ มีเสมหะหรือไม่ ถ้ามีควรรีบไปพบแพทย์ และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร.1422