จากกรณีข่าวทางการญี่ปุ่นกำลังสืบค้นหาสาเหตุการเพิ่มขึ้นของ “โรคแบคทีเรียกินเนื้อ” โรคติดต่อเฝ้าระวังที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย "สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ" หรือ Streptococcus กลุ่ม A ในประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด 19 ร่วมกับอาจมีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วยนั้น
ล่าสุด เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้แก่คนไทยโดยเฉพาะคนที่กำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง กรณีพบผู้ป่วยกลุ่มอาการภาวะช็อกจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส (Streptococcal toxic shock syndrome (STSS)) เพิ่มสูงขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มี 5 ประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
1) ภูมิหลังและความสำคัญ
Streptococcal toxic shock syndrome (STSS) เป็นภาวะติดเชื้อที่รุนแรงที่พบได้น้อยแต่เป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus กลุ่ม A ซึ่งเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้พบได้บ่อยในลำคอและบนผิวหนังของคนเราทั่วไป และสามารถทำให้เกิดอาการคออักเสบได้ ในกรณีที่มีความรุนแรง หรือ invasive group A streptococcal disease (iGAS) เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถเข้าไปในเนื้อเยื่อส่วนลึกและปล่อยสารพิษผ่านระบบไหลเวียนเลือด กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จนเกิดภาวะช็อก และภาวะล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายตามมา จนเสียชีวิตได้ และสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คน ผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่ และการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุคอ เยื่อบุเมือกต่าง ๆ และบาดแผลบนผิวหนัง ลักษณะอาการเริ่มด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว และประมาณ 24 ถึง 48 ชั่วโมง จะมีอาการรุนแรงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลสถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติญี่ปุ่น (National Institute of Infectious Diseases, Japan) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 17 มีนาคม 2567 ประเทศญี่ปุ่นมีรายงานพบผู้ป่วย STSS จำนวน 521 ราย ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อ Streptococcus กลุ่ม A จำนวน 335 ราย (ร้อยละ 64.3) ซึ่งสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปี โดยมีผู้ป่วยเสียชีวิต จำนวน 77 ราย ทั้งนี้รัฐบาลประเทศญี่ปุ่นได้ออกมาแจ้งเตือนเพื่อกระตุ้นเตือนให้ประชาชนในประเทศญี่ปุ่นเฝ้าระวังอาการและเน้นย้ำการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล อาทิ การล้างมือ การสวมใส่หน้ากาก และการดูแลทำความสะอาดบาดแผล
2) Streptococcal toxic shock syndrome (STSS) คืออะไร
สาเหตุ เป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ S. pyogenes เรียกว่า Streptococcus กลุ่ม A (Group A Strep) ซึ่งสามารถเข้าไปในเนื้อเยื่อส่วนลึกและปล่อยสารพิษผ่านระบบไหลเวียนเลือด กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จนเกิดภาวะช็อก และภาวะล้มเหลวของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายตามมา จนเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ Streptococcus กลุ่ม B, C, G ก็ทำให้เกิด STSS ได้ แต่เกิดขึ้นน้อยกว่ากลุ่ม A
ลักษณะอาการ เริ่มด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว และโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 24 ถึง 48 ชั่วโมง จะมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว และมีสัญญาณและอาการที่แสดงให้เห็นถึงภาวะล้มเหลวของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับวาย ไตวาย ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด การอักเสบของเนื้อเยื่อ ผื่นแดงทั่วตัว อาการทางระบบประสาท
การติดต่อ เชื้อ Streptococcus กลุ่ม A แพร่เชื้อจากคนสู่คน ผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่ และการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก ซึ่งจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุคอ เยื่อบุเมือกต่างๆ และบาดแผลบนผิวหนัง จากนั้นเชื้อจะแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อชั้นลึก และเข้าสู่กระแสเลือด
การวินิจฉัยโรคและการรักษา ใช้อาการทางคลินิกร่วมกับผลการตรวจแยกเชื้อ โดยผู้ป่วยควรได้รับการรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์
3) สถานการณ์ปัจจุบัน
สถานการณ์การติดเชื้อ Streptococcus กลุ่ม A รวมทั้งการเกิด Streptococcal toxic shock syndrome (STSS) ในประเทศญี่ปุ่น มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2566 โดยพบผู้ป่วย จำนวน 941 ราย
จากข้อมูล Infectious Diseases Weekly Report (IDWR) ตั้งแต่ 1 มกราคม – 17 มีนาคม 2567 มีรายงานผู้ป่วย STSS จำนวน 521 ราย ซึ่งสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปี ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อ Streptococcus กลุ่ม A
จำนวนผู้ติดเชื้อ 335 ราย (ร้อยละ 64.3)
แบ่งตามอายุ ดังนี้
มีผู้ป่วยเสียชีวิตรวม 77 ราย
4) คำแนะนำสำหรับผู้เดินทาง
ก่อนการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น
ระหว่างการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น (ระหว่างอยู่ที่ประเทศปลายทาง)
หลังกลับจากการเดินทาง
5) ข้อมูลสำหรับแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข
เนื่องด้วยอาการ STSS มีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หน่วยงานบริการสาธารณสุขต้องเฝ้าระวังโรคในผู้เดินทาง หากพบผู้ป่วยเข้าได้กับลักษณะอาการของ STSS และมีประวัติการเดินทางมาจากพื้นที่ที่พบผู้ป่วย ควรรีบประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วย เพื่อให้การรักษาอย่างรวดเร็วก่อนเกิดภาวะช็อก ลดความรุนแรง และการแพร่กระจายของโรคในประเทศไทย
ทั้งนี้ ข้อมูลข้างต้น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดทำขึ้นเพื่อสื่อสารอย่างเร็ว อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ โปรดตรวจสอบข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ (1)(2)(3)(4)