
รู้หรือไม่? มนุษย์เรามีสมองถึง 2 จุด!! จุดแรกคือ “สมองที่สั่งการการทำงานของร่างกาย” และสมองที่ 2 ของมนุษย์คือ “ลำไส้” คุณหมอชื่อดังหลายคนทำคลิปวิดีโอแชร์ความรู้การดูแลสุขภาพในโซเชียลมีเดีย ...ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น!
“ลำไส้” สำคัญอย่างไร
ลำไส้ดี ร่างกายดี แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยแนะนำ เพราะนอกจากความสำคัญของลำไส้จากหน้าที่หลักในระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal tract-GI tract) หรือเรียกอีกอย่างว่า ระบบย่อยอาหาร (Digestive tract) ที่เริ่มตั้งแต่ช่องปาก ลำคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไปจนถึงทวารหนัก ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี และตับอ่อน ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ทั้งโปรตีน ไขมัน วิตามินและน้ำ หลังรับประทานอาหาร ระบบย่อยอาหารจะย่อยสารอาหารเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ พอที่ร่างกายจะดูดซึมได้ หลังจากนั้นร่างกายจะนำสารอาหารไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ รวมถึงขับถ่ายของเสีย
ลำไส้เป็นส่วนที่ยาวที่สุดในร่างกายสิ่งมีชีวิต ทั้งยังมีเซลล์ประสาทหลายล้านเซลล์
ทางเดินอาหารในร่างกายผู้ใหญ่มีความยาวประมาณ 9 เมตร ส่วนที่ยาวที่สุด ได้แก่ ลำไส้เล็ก ซึ่งมีความยามประมาณ 7.5 เมตร ลำไส้ใหญ่ยาวประมาณ 1.5 เมตร และมีขนาดโตกว่าลำไส้เล็กคือ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร ในความเป็นจริงลำไส้ไม่ได้ถูกยึดออกมายาวเท่านี้ เพราะลำไส้ที่มีชีวิตกล้ามเนื้อจะหดตัวคลายตัวอยู่ตลอดเวลา
ความยาวของลำไส้เล็กเมื่อเทียบกับพื้นที่ของพื้นผิวแล้วยังต่างกันมาก พื้นที่ผิวของลำไล้เล็กมีขนาดกว้างถึง 250 ตารางเมตร หรือเท่ากับสนามเทนนิส 2 สนามรวมกัน ที่ต้องมีพื้นที่ผิวมากมายอย่างนี้เพราะต้องการไว้สำหรับดูดซึมสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงร่างกายและการที่มีพื้นที่มากบรรจุอยู่ในที่แคบๆ ได้ก็ต้องอาศัยการพับไปพับมา และยังมีส่วนยื่นออกมาคล้ายชั้นวางของมากมาย ในแต่ละชั้นก็มีส่วนยื่นคล้ายนิ้วมือ ที่เรียกว่า วิลไล (villi) ออกมาอีก ทำให้เพิ่มพื้นที่ขึ้นไปได้อีกมาก และในวิลไลก็ยังมีไมโครวิลไล (microvilli) ด้วย เหล่านี้เป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวทั้งนั้น
เพราะลำไส้มีระบบประสาทอัตโนมัติ ที่สามารถทำงานและตัดสินใจเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องให้สมองสั่งการ ตั้งแต่ควบคุมระบบย่อย เปลี่ยนเป็นสารอาหารและดูดซึมส่งไปให้อวัยวะส่วนต่างๆ ถ้าจุลินทรีย์ไม่สมดุลคือมีตัวแย่มากกว่าตัวที่ดี ลำไส้จะไม่แข็งแรง จนเกิดปัญหากับระบบย่อยและการดูดซึมได้
เพราะลำไส้ทำหน้าที่ต้านโรคภัยและขับสารพิษ ยกตัวอย่างตอนที่เรามีอาการท้องเสีย นั่นคือการที่ลำไส้พยายามขับสารพิษออกจากร่างกาย หลังจากส่งข้อมูลไปที่ระบบภูมิคุ้มกันว่ามีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายเข้ามา ซึ่ง 70% ของเซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะอยู่ในลำไส้ของเรานี่เอง
เพราะลำไส้ทำหน้าที่ควบคุมด้านอารมณ์และพฤติกรรม เนื่องจากฮอร์โมนสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานของหลายๆระบบร่างกาย รวมถึงสภาวะทางอารมณ์ ที่มีชื่อว่า “เซโรโทนิน” เกือบ 95% อยู่ในลำไส้ ถ้าลำไส้สุขภาพไม่ดีก็ส่งผลให้เซโรโทนินลดลง ส่งผลให้การปรับอารมณ์ การนอน การจดจำ และการเรียนรู้ ทำได้แย่ลงได้
เพราะลำไส้ส่งผลต่อการเติบโตและพัฒนาการในร่างกาย นอกจากทำหน้าที่ย่อยอาหาร โดยเฉพาะประเภทที่เอนไซม์ในร่างกายไม่สามารถย่อยได้ จุลินทรีย์ดีหรือโพรไบโอติกในลำไส้ ยังเป็นตัวหลักในการผลิตสารอาหารที่ส่งเสริมการเติบโตของร่างกาย เช่น วิตามินบี12 วิตามินเค โฟเลต
ลำไส้ คือจุดเริ่มต้นที่ทรงอิทธิพลให้ร่างกายแข็งแรงและคืนสู่สมดุล คือ “สมองที่ 2” ของมนุษย์ เป็นอวัยวะที่เก็บของเสียภายในร่างกาย หากสะสมมากๆ ไม่ได้รับการใส่ใจดูแล มักก่อโรค อาทิ ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง ความเหนื่อยล้า โรคผิวหนัง อาการซึมเศร้า มะเร็งลำไส้ใหญ่ ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อย สิวอักเสบ ผิวหนังแห้งกร้าน มีกลิ่นปาก ภูมิแพ้ กระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายบริเวณช่องท้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดอาการแน่นจุก เรอ หรือ ผายลมที่ไม่พึงประสงค์ ลดปัญหาท้องเสียหรือท้องผูกลด ลดอาการสิวเห่อ
1 . มะเร็งลำไส้ หรือที่เรียกว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งลำไส้ตรง เป็นโรคที่พบได้มากที่สุดโรคหนึ่งของลำไส้ อาการของมะเร็งในระยะที่ 3 และ 4 จะทำให้มีอาการเหนื่อยล้า อ่อนแรงลงและ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงความรู้สีกถ่ายไม่สุด ลักษณะของอุจจาระมีการเปลี่ยนแปลงมานานกว่าหนึ่งเดือน
2 . โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง หากเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานจะทำให้ลำไส้เสียหาย อาการของโรคทั่วๆไปคือรู้สึกไม่สบายท้องหรือปวดท้อง มีแก๊สในท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูกและ/หรืออาเจียน
3 . ริดสีดวงทวาร เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก พบได้ในภาวะท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด คัน แสบร้อน มี เลือดไหลขณะขับถ่าย ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิต
4 . แผลปริที่ขอบทวารหนัก มักพบในคนท้องผูกเรื้อรัง ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขณะขับถ่าย และมีเลือดออกขณะขับถ่าย และมีอาการต่อเนื่องหรือเป็นๆ หายๆ เป็นเวลานาน
5. โรคลำไส้แปรปรวน หรือ ไอบีเอส (IBS) เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของลำไส้ส่วนปลาย ได้แก่ ปลายลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ที่มีการบีบตัวมากเกินไป ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ไม่สบายท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ท้องผูกหรือท้องเสีย เป็นต้น
กินโพรไบโอติกธรรมชาติ ที่สามารถพบได้ทั่วไปจากอาหารในชีวิตประจำวัน เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต อาหารหมักดอง ดาร์กช็อคโกแลต ชีสบางประเภท เทมเป้ ชาหมัก ถั่วเน่า แอปเปิลไซเดอร์ ซุปมิโซะ
เห็นแล้วหรือยังว่าการรับประทานอาหาร พฤติกรรมในการดำเนินชีวิต และกรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่โรคต่างๆ เกี่ยวข้องกับลำไส้ หากมีอาการผิดปกติ ควรพบแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และนำไปสู่การรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ตามเวลาจะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงได้เช่นกัน