
ช่วงนี้เราต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศที่ปะปนด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กมากอย่าง PM2.5 ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบกับสุขภาพ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคในระบบทางเดินหายใจ แต่ที่อันตรายไม่น้อยไปกว่ากัน คือ "ดวงตา"
โดยเฉพาะบริเวณเยื่อบุตา กระจกตา ที่ต้องสัมผัสกับฝุ่นละอองโดยตรง ซึ่งตามปกติแล้ว ผิวตาของเราจะมีเพียงชั้นน้ำตาบางๆ ป้องกันอยู่เท่านั้น หากต้องอยู่ในสภาพอากาศที่มีมลพิษและฝุ่นหนาแน่น โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 จะทำให้มีอาการผิดปกติโดยทันที คือเกิดการระคายเคือง ไม่สบายตา อาจทำให้เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง มีภาวะตาแห้งมากขึ้น ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตันหรือติดเชื้อ รวมถึงก่อให้เกิดความผิดปกติของเส้นเลือดในจอประสาทตาได้
1 เยื่อบุตา เป็นบริเวณที่สัมผัสกับปัจจัยภายนอกโดยตรง เมื่อมีความผิดปกติจะมีอาการคันตา น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ เยื่อบุตาอักเสบ ซึ่งหากต้องเผชิญกับมลพิษเป็นเวลานาน จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ มีรูปร่างผิดปกติไป กระตุ้นการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ เกิดภาวะภูมิแพ้ที่ตา ตาแห้งเรื้อรัง และมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย
2 โรคตาแห้ง ระดับของฝุ่นมลพิษและความชื้นในอากาศ มีความสัมพันธ์กับอาการตาแห้ง ทำให้ชั้นน้ำตาระเหยเร็วกว่าปกติ ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ หรือมีภาวะตาแห้งอยู่เดิม จะมีความไวต่อผลกระทบจากฝุ่นมากขึ้น
3 ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian gland dysfunction) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะตาแห้ง มีงานวิจัยพบว่าคุณภาพอากาศที่แย่มีผลทำให้ต่อมไขมันอักเสบเพิ่มขึ้น มีการอุดตันของต่อมไขมันตามเปลือกตา
4 เปลือกตาอักเสบ สาเหตุจากฝุ่นขนาดเล็ก และควันทำให้เกิดการระคายเคือง ร่วมกับมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดเป็นตากุ้งยิงได้
5 ผลกระทบต่อกระจกตา ฝุ่น PM2.5 ทำให้เซลล์ชั้นนอกของกระจกตาเปลี่ยนแปลงและทำงานลดลง มีผลต่อระดับการมองเห็น
6 จอประสาทตา มีงานวิจัยพบว่าการสัมผัสกับฝุ่นขนาดเล็กทั้งPM2.5, PM10 และฝุ่นคาร์บอน แม้เพียงระยะสั้น ทำให้เส้นเลือดในจอประสาทตาตีบลง ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ จอประสาทตาขาดออกซิเจน นำไปสู่การมองเห็นที่ผิดปกติได้
โรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (age-related macular degeneration; AMD) เป็นโรคในอันดับต้น ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาด้านการมองเห็นในผู้สูงอายุ มีการคาดการณ์ว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ ตัวโรคจะทำให้การมองเห็นมัว ผู้ป่วยเห็นภาพที่บิดเบี้ยวโดยเฉพาะส่วนกลางของภาพเนื่องจากจอประสาทตาถูกทำลายซึ่งจะส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วย มีการเปรียบเทียบว่าคุณภาพชีวิตที่ลดลงของผู้ป่วยโรค AMD เทียบเท่ากับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนกระดูกสันหลังหัก รวมไปถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV : human immunodeficiency virus) ในระยะที่แสดงอาการ
โรค AMD พบอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ การเสื่อมเป็นบริเวณกว้างของจอประสาทตาที่เรียกว่า geographic atrophy AMD หรือ dry AMD และการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่จอประสาทตาที่เรียกว่า neovascular AMD หรือ wet AMD โดยในรูปแบบ dry AMD นั้น สามารถพบได้ประมาณร้อยละ 90 จากผู้ป่วยโรค AMD ทั้งหมด ในปัจจุบันมีเพียงรูปแบบ wet AMD เท่านั้นที่สามารถรักษาได้ โดยการฉีดสารยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ (anti-vascular endothelial growth factor injection; anti-VEGF injection) หรือการฉายแสง (photodynamic therapy)
ถึงแม้ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดโรค AMD คือ การสูงวัย แต่ก็มีปัจจัยกระตุ้นหรือส่งเสริมให้เกิดโรคนี้เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ การสูบบุหรี่ ภาวะ metabolic syndromes การได้รับแสงจ้าเป็นระยะเวลานาน และความผิดปกติทางพันธุกรรม
นอกจากนี้ยังมีรายงานที่พบว่าฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (particulate matter 2.5; PM 2.5) และมลพิษทางอากาศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค AMD จากการศึกษาของ Sharon และคณะในปี ค.ศ. 2020 ด้วยเทคนิคการเปรียบเทียบภาพถ่ายดวงตาในชั้นเรตินา (retina) จากกลุ่มตัวอย่าง 51,710 คน ในช่วงอายุ 40 ถึง 69 ปี เทียบกับข้อมูลการได้รับมลพิษทางอากาศในสหราชอาณาจักร (United Kingdom) พบว่า การได้รับ PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ เช่น สารในกลุ่มไนโตรเจน ออกไซด์ (nitrogen oxides) ในปริมาณมากจะพบลักษณะที่แย่หรือไม่แข็งแรงของโครงสร้างชั้นเรตินา โดยมีกลไกคือ PM 2.5 ที่ได้รับจากการสูดดมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและสะสมไว้ สามารถแพร่เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ผ่านแนวกั้นเลือดและสมอง (blood-brain barrier) เข้าสู่ระบบประสาทได้ ซึ่งรวมไปถึงชั้นเรตินาที่จัดเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาท เหนี่ยวนำให้เกิดภาวะ oxidative stress และกระบวนการอักเสบในชั้นของเรตินาได้เช่นเดียวกับการศึกษาก่อนหน้าที่รายงานว่า PM อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการทำลายของเซลล์ในระบบประสาท นอกจาก PM 2.5 และมลพิษทางอากาศจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรค AMD แล้ว ยังอาจรวมไปถึงโรคตาอื่น ๆ เช่น โรคต้อหินด้วย