svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

‘8 ภาวะแทรกซ้อน’ อันตรายในอันตราย ที่ผู้ป่วย ‘โรคเบาหวาน’ ต้องระวัง!!

รู้หรือไม่? 2 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อน อันตรายที่ร้ายกว่าโรค ทั้งยังเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียอวัยวะ มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง พร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

14 พฤศจิกายน 2566 : วันเบาหวานโลก “Diabetes: Know Your Risk, Know Your Response - เบาหวาน… รู้ว่าเสี่ยง รู้แล้วต้องเปลี่ยน” เป็นประเด็นรณรงค์เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายของโรคเบาหวาน เนื่องจากโรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคที่คนไทยป่วยกันมาก พบได้ในทุกช่วงวัย และยังมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี ข้อมูลของ IDF Atlas ปี 2021 พบมีผู้เป็นเบาหวานทั่วโลกมากกว่า 530 ล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว รวมทั้งผู้ใหญ่วัยต้นช่วงอายุน้อยกว่า 30 ปี ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มประเทศที่มีอัตราเพิ่มขึ้นรวดเร็ว อยู่ในแถบแอฟริกา แปซิฟิกตะวันตก และเอเชียตะวันออกฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย  

‘8 ภาวะแทรกซ้อน’ อันตรายในอันตราย ที่ผู้ป่วย ‘โรคเบาหวาน’ ต้องระวัง!!

“โรคเบาหวาน” เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพและทำงานล้มเหลว เป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิทยาการทางการแพทย์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจึงทำได้เพียงประคองอาการให้อยู่ในระดับที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด ทั้งยังเป็นโรคที่มีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนได้มากมาย การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากก็จะช่วยชะลอ และลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนเรื้อรังได้มากเท่านั้น ที่สำคัญคือโรคแทรกซ้อนเรื้อรังนี้อาจกลับคืนสู่สภาพปกติได้ ถ้าผู้เป็นเบาหวานได้รับการตรวจพบความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้น และได้รับการรักษาแต่เริ่มแรก

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมาเป็นเวลานานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีโอกาสมากกว่าที่จะเกิด "ภาวะโรคแทรกซ้อน" โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามที่กำหนด ซึ่งความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนนั้นก็แตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล โดยภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

โรคเบาหวานภาวะแทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน

- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดจากปลายนิ้วต่ำกว่าหรือเท่ากับ 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร มักมีอาการแสดงเมื่อมีน้ำตาลในเลือดต่ำ และอาการจะหายไปเมื่อมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

อาการ: มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว มึนงง สับสน อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง ชัก หมดสติ

หลักการแก้ไข: ยึดหลัก 15: 15: 15 คือให้ผู้ป่วยรับประทานคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม เช่น น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม 1 แก้ว  ลูกอม 3 เม็ด เป็นต้น หลังจากนั้น 15 นาทีให้ตรวจดูค่าน้ำตาลที่ปลายนิ้ว หากค่าน้ำตาลมากกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ให้รับประทานอาหารมื้อหลักทันทีเมื่อถึงมื้ออาหาร แต่หากยังต่ำกว่าระดับที่ระบุ ให้รับประทานคาร์โบไฮเดรตซ้ำอีก 15 กรัม และเว้นอีก 15 นาทีก่อนตรวจระดับน้ำตาลอีกครั้ง แต่หากผู้ป่วยมีอาการมึนงง ไม่รู้สึกตัวหรือชัก ห้ามให้อาหารทางปากเด็ดขาดเพราะอาจจะสำลักลงหลอดลมได้ ต้องรีบน้ำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน ซึ่งมี 2 ภาวะ คือ

  • ภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน (Diabetic Ketoacidosis, DKA) คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทีมีน้ำตาลในเลือดมากกว่า 250 มิลลิกรัม / เดซิลิตร ร่วมกับภาวะกรดเมตาบอลิกจากกรดคีโตนคั่งในร่างกาย
  • ภาวะเลือดข้นจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรง (Hyperosmolar Hyperglycemic state, HHS) คือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงทีมีน้ำตาลในเลือดมากกว่า 600 มิลลิกรัม / เดซิลิตร และออสโมลาลิตีในเลือดมากกว่า 320 มิลลิออสโมล / กก. ร่วมกับระดับความรู้สึกตัวลดลง

อาการ: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไม่สบายตัว หอบเหนื่อย ปัสสาวะมาก ซึม ชัก หมดสติ

หลักการแก้ไข: หากผู้ป่วยมีอาการจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน “ต้องรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที”

‘8 ภาวะแทรกซ้อน’ อันตรายในอันตราย ที่ผู้ป่วย ‘โรคเบาหวาน’ ต้องระวัง!!

ภาวะแทรกซ้อนแบบเรื้อรังของโรคเบาหวาน คืออันตรายในอันตราย!

ภาวะนี้จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะยาว ซึ่งมักเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึง 2 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรืออาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียอวัยวะและทำให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง พร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดเล็ก ได้แก่

  • ภาวะแทรกซ้อนที่จอประสาทตา
  • ภาวะแทรกซ้อนที่ไต
  • ภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาท      

ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดขนาดใหญ่ ได้แก่

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคหลอดเลือดส่วนหลายอุดตัน ซึ่งเป็นปัจจัยส่งให้เกิดแผลที่เท้าของผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

  • โรคผิวหนัง
  • โรคในช่องปาก

‘8 ภาวะแทรกซ้อน’ อันตรายในอันตราย ที่ผู้ป่วย ‘โรคเบาหวาน’ ต้องระวัง!!

1. โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่จอประสาทตา

“เบาหวานขึ้นตา” โรคแทรกซ้อนที่เกิดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ทำให้หลอดเลือดในจอประสาทตาเริ่มอักเสบ โป่งพอง มีเลือด และมีน้ำเหลืองซึมออกมาทั่วจอประสาทตา หากรั่วซึมถึงจุดศูนย์กลางของการรับภาพ อาจทำให้มีอาการตาพร่ามัว หากหลอดเลือดและพังผืดเกิดใหม่ยังมีผนังไม่แข็งแรง ฉีกขาดง่าย จะเป็นตัวที่ยึดดึงจอประสาทตาให้หลุดลอกออกมาและตาบอดสนิท

อาการ สายตามัวลง เกิดจากการหักเหแสงของเลนส์ผิดปกติในขณะที่น้ำตาลในเลือดสูง หรือเกิดจากต้อกระจก หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของจอประสาทตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะทำให้ผู้ป่วยตาบอดได้ , เห็นเงาดำบังเวลามองภาพ เกิดจากมีเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา , มองเห็นภาพซ้อน เกิดจากกล้ามเนื้อตาที่ควบคุมโดยเส้นประสาทสมองทำงานผิดปกติ

2.โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่ไต

เบาหวานเป็นสาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ภาวะแทรกซ้อนที่ไตเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสียชีวิตของผู้ป่วยทั้งเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นอาการที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และระดับความดันโลหิต

อาการ ระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการ แต่หากไปตรวจปัสสาวะจะพบโปรตีนอัลบูมินหรือไข่ขาวรั่วออกมาทางปัสสาวะในปริมาณเล็กน้อย คือ ตรวจพบโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะประมาณ 30-300 มิลลิกรัมต่อวัน

ระยะต่อมาเมื่อปริมาณโปรตีนรั่วออกมามากขึ้น อาจสังเกตพบปัสสาวะเป็นฟองและมีอาการบวมได้ ในระยะนี้ จะตรวจพบความดันโลหิตสูงร่วมด้วย (ปริมาณโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะระยะนี้จะมีปริมาณมากกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน) หากยังไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลให้การทำงานของไตลดลง และเกิดภาวะไตวายเรื้อรังในที่สุด จนต้องรักษาด้วยการฟอกเลือด หรือล้างไต

3.โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาท

ภาวะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการชาที่ปลายเท้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลที่เท้า โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตันร่วมด้วย เป็นเหตุให้ผู้ป่วยอาจต้องถูกตัดนิ้วหรือตัดขา ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เส้นประสาท ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือด ภาวะความดันโลหิตสูง และการสูบบุหรี่ เป็นต้น

อาการ ผู้ป่วยอาจมีอาการชาที่ปลายมือปลายเท้าทั้งสองข้าง ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือปวดเหมือนถูกแทง ส่วนใหญ่อาการมักจะเกิดตอนกลางคืน ระยะต่อมาอาการปวดจะลดลง แต่จะรู้สึกชาและรับรู้การสัมผัสลดลง นอกจากนี้บางรายอาจมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อขนาดเล็กของแขนและขาได้

4.โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดหัวใจ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน นับว่าเป็นโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายมาก เพราะทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่าผู้ป่วยทั่วไป 1.5 เท่าละมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าเกือบ 2 เท่า ซึ่งผู้ป่วยจะมีภาวะความดันโลดหิตและไขมันในเลือดสูง แต่อาการนี้ผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้ได้เอง ดังนั้นจะต้องได้รับการตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ

5. โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือดสมอง

เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณสมองตีบตัน ทำให้ผู้ป่วยพิการหรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบตันจะสูงมากขึ้นในผู้เป็นเบาหวานที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่อ่อนแรงลงไป เกิดอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต อายุถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสี่ยงนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 70 ปีมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้สูงถึง 3 เท่า

6. โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือด

โรคนี้ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทำให้รู้สึกรำคาญและทุกข์ทรมาน เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย ไม่สามารถส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้ รวมถึงการมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง ความรู้สึกในการรับรู้ต่างๆ ลดลง โดยเฉพาะบริเวณปลายมือ ปลายเท้า จะเกิดอาการชา เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก จึงเป็นอันตรายกับผู้เป็นเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบและเล็กลง รวมถึงทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง 

7. โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนที่ผิว

โรคผิวหนัง เกิดจากร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผิวหนังแห้งและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะเชื้อรา ทำให้เกิดอาการคันและเกิดเป็นแผลตามผิวหนัง ผิวแห้ง ผิวแตก หนังหนา หรือเกิดหนังแข็งๆ ที่ฝ่าเท้า ทั้งนี้ แผลที่เกิดขึ้นมักจะหายยากและเกิดการอักเสบ ผู้เป็นเบาหวานจึงควรหมั่นดูแลรักษาผิวให้สะอาดอยู่เสมอ ทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิว คอยสำรวจร่างกายอยู่เสมอว่ามีตุ่ม หรือแผลที่บริเวณใดบ้าง ถ้าเกิดมีฝีหรือแผล ควรรีบรักษาตั้งแต่เริ่มต้น

8. โรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนในช่องปาก

เบาหวานทำให้เกิดปัญหาในช่องปาก โดยเฉพาะเหงือกและฟันได้เช่นกัน ภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานต่อช่องปากมีสาเหตุเช่นเดียวกับโรคแทรกซ้อนในอวัยวะอื่น ซึ่งอาการที่พบในช่องปากของผู้เป็นโรคเบาหวาน คือ ปากแห้ง ลิ้นอักเสบ อาจมีการติดเชื้อรา หากใส่ฟันปลอมมักเกิดมีแผลได้ง่าย มีเหงือกอักเสบรุนแรง โรคในช่องปากที่เด่นที่สุดก็คือ โรคปริทันต์

ทั้งหมดนี้ เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการเป็นเบาหวาน ที่ส่งผลต่อการทำงาน และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น และบางครั้งโรคแทรกซ้อนนั้นอาจอันตรายถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หากมีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรคดังกล่าว จะช่วยให้ผู้เป็นเบาหวานมีสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการรักษาโรคแทรกซ้อน หากคุณหรือคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคเบาหวานก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจกับการเลือกบริโภคอาหารให้เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ และลดเลิกพฤติกรรมที่จะทำให้อาการของโรคแย่ลง เพื่อที่คุณและคนที่คนรักจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข