svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

อัพเดท 10 เรื่องจริงต้องรู้ของโรค “ไข้เลือดออก”

รู้หรือไม่? เราสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง! เปิด 10 เรื่องจริงต้องรู้ของ Dengue Fever "โรคไข้เลือดออก” โรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะและอันตรายถึงชีวิต แต่สามารถป้องกันได้หลายวิธี พร้อมชวนเช็กสัญญาณเตือนการติดเชื้อไข้เลือดออกที่ส่อแววรุนแรง

องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยตัวเลขในแต่ละปีมีผู้ที่ติดเชื้อไข้เลือดออกมากถึง 400 ล้านคนทั่วโลก โดยประมาณ 100 ล้านคนมีอาการป่วยจากการติดเชื้อ และ 40,000 คนเสียชีวิตจากไข้เลือดออกที่อาการรุนแรง

อัพเดท 10 เรื่องจริงต้องรู้ของโรค “ไข้เลือดออก”

โรคไข้เลือดออกจึงเป็นอีกหนึ่งโรคอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเราอยากชวนทุกคนมารู้ 10 เรื่องจริงต้องรู้ของโรค “ไข้เลือดออก” ไปพร้อมกัน

1.โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า เดงกี (Dengue virus) ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ โดยมียุงลายบ้านและยุงลายสวนเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายดูดเลือดผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกในระยะไข้สูงแล้วเชื้อไวรัสเดงกีนี้จะอยู่ในตัวยุงตลอดไปและถ่ายทอดผ่านทางไข่ไปสู่ยุงรุ่นต่อๆ ไป ทำให้ผู้ที่ถูกยุงลายเหล่านี้กัดจึงติดเชื้อไวรัสเดงกีแล้วเป็นโรคไข้เลือดออกได้

โดยโรคไข้เลือดออกมีการกำเนิดโรคเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  • ระยะไข้ : ผู้ป่วยทุกรายจะมีไข้สูงลอย ในระยะนี้จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ปวดข้อ ปวดกระดูก ร่วมด้วย ประมาณ 2-7 วัน
  • ระยะวิกฤติ : จะเกิดช่วงปลายระยะไข้จนถึงระยะไข้ลด ประมาณ 24-48 ชม. ผู้ป่วยจะมีเกร็ดเลือดต่ำลงมาก (มักจะต่ำกว่า 100,000 ตัว/ลบ.มม.) มีการรั่วของพลาสมาออกนอกหลอดเลือด ทำให้ผู้ป่วยมีระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือเกิดภาวะช็อกขึ้น มีเลือดออกผิดปกติตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ เช่น เลือดออกในสมอง ในปอด ในระบบทางเดินอาหารหรือมีน้ำในช่องเยื้อหุ้มปอด น้ำในช่องท้องได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง จนถึงเสียชีวิตได้
  • ระยะฟื้นตัว : เมื่อเข้าสู่ระยะฟื้นตัวผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลา ประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตปกติ อาจมีผื่นเป็นวงกลมเล็กๆ สีขาว ของผิวหนังปกติ ท่ามกลางผื่นสีแดงร่วมด้วยได้

2. อัตราการติดโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงขึ้นกว่า 30 เท่า

ไข้เลือดออกมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าเพิ่มขึ้นจาก 50 ปีก่อนถึง 30 เท่า ก่อนปี ค.ศ. 1970 มีเพียง 9 ประเทศที่พบการระบาดของไข้เลือดออก แต่ในปัจจุบันพบการระบาดของไข้เลือดออกถึง 129 ประเทศทั่วโลก หรือพูดง่ายๆ ว่ากว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วโลกเสี่ยงต่อการติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปสหรัฐอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง และหมู่เกาะแปซิฟิก ยิ่งในทวีปเอเชียของเรา ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อไข้เลือดออกถึงร้อยละ 70 เลยทีเดียว

อัพเดท 10 เรื่องจริงต้องรู้ของโรค “ไข้เลือดออก”

3. ชุมชนเมืองเพิ่ม การระบาดของไข้เลือดออกก็เพิ่มตามไปด้วย

ชุมชนเมืองที่ประชากรอยู่อาศัยกันหนาแน่มักทำให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยุงสามารถกัดและแพร่เชื้อได้มากขึ้น นักท่องเที่ยวที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ก็สามารถเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสเดงกีได้ไกลและกว้างขึ้น จากการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ประกอบกับภาวะโลกร้อน เมื่ออุณหภูมิทั่วโลกสูงขึ้น สภาพความชื้นและความอบอุ่นที่เกิดขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเจริญเติบโตของยุงก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

 

4. ไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมี 4 สายพันธุ์

เชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยส่วนใหญ่แล้วไข้เลือดออกเดงกีมักไม่มีอาการแสดงหรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางรายก็สามารถเกิดเป็นไข้เลือดออกเดงกีชนิดรุนแรงได้

สัญญาณเตือนการติดเชื้อไข้เลือดออกที่รุนแรง คือ
• ปวดท้องอย่างรุนแรง
• อาเจียนมาก อาเจียนต่อเนื่อง
• หายใจเร็ว
• เลือดออกบริเวณเหงือก
• รู้สึกเหนื่อยมาก
• รู้สึกอ่อนเพลีย
• อาเจียนมีเลือดปน

 

5. เราสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีได้ถึง 4 ครั้ง

เพราะเชื้อไวรัสไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ และการระบาดก็จะสลับหมุนเวียนไป ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป กรณีที่เราเคยเป็นไข้เลือดออกชนิดหนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกีแค่ชนิดที่ติดเท่านั้น ฉะนั้นเราจึงมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกอีก 3 สายพันธุ์ได้ ทำให้ตลอดชีวิตของเราสามารถที่จะติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้มากถึง 4 ครั้งนั่นเอง

 

6. การติดเชื้อไข้เลือดออกซ้ำ เสี่ยงอาการรุนแรงมากกว่าเดิม

หากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ชนิดที่แตกต่างจากเดิม อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะในการได้รับเชื้อไข้เลือดออกในครั้งแรกร่างกายของเราจะมีระบบภูมิคุ้มกันโดยการสร้างภูมิต้านทานออกมาต่อสู้กับการเชื้อไวรัส แต่ภูมิต้านทานไม่ได้อยู่ถาวรหรือป้องกันชนิดอื่นๆ สามารถป้องกันได้เพียงสายพันธุ์ที่เคยติดมาแล้ว เมื่อได้รับเชื้อไข้เลือดออกซ้ำในครั้งที่สองแต่คนละสายพันธุ์ภูมิต้านของเราในร่างกายเราจึงเกิดอาการสับสน และทำงานได้ไม่ดีพอ ไม่สามารถสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างทันเวลา จึงเป็นผลให้การติดเชื้อในครั้งที่ 2 มีอาการรุนแรงมากกว่า และอันตรายถึงชีวิตมากกว่า

 

7. ไข้เลือดออก ติดได้ ไม่เลือกคน

ยุงลาย คือพาหะนำโรคไข้เลือดออกเดงกี และถูกนับว่าเป็นพาหะที่แพร่กระจายได้เร็วที่สุดในโลก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใด หากมียุงลายก็มีโอกาสเสี่ยง หรือย้ำชัดๆ ว่าเราทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีได้ตลอดเวลา

 

8. ไข้เลือดออกสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน

แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มียาสำหรับรักษาโรคไข้เลือดออกแบบเฉพาะเจาะจง การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคองตามอาการและความรุนแรงของโรค นอกเหนือจากการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด หรือ การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงแล้ว ยังมีอีกวิธีที่สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ นั่นก็คือ การฉีด “วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก” ซึ่งมี 2 ชนิด นั่นก็คือ วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม (Dengvaxia) และวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม (QDenga) นั่นเอง

 

9.การป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกีมากัด ดังนั้น วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การป้องกันการถูกยุงกัด และการป้องกันไม่ให้ยุงเกิด โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

  • การป้องกันยุงกัด ได้แก่ ทายากันยุง นอนในมุ้ง ให้เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว
  • การจัดการภาชนะหรือสภาพแวดล้อมไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เช่น หมั่นเปลี่ยนน้ำในแจกันทุกสัปดาห์ ใช้ทรายกำจัดลูกน้ำในภาชนะน้ำใช้ ปิดฝาภาชนะน้ำกิน/น้ำใช้ให้มิดชิด คว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ไม่ให้น้ำขังได้  ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูงในอ่างบัว/ไม้น้ำ
  • เก็บบ้านให้ปลอดโปร่ง ไม่ให้มีมุมอับ เพื่อป้องกันยุงลายมาเกาะพัก
  • ใช้สเปรย์กระป๋องฉีดพ่นกำจัดยุงลายในบ้าน

 

10.การดูแลรักษา

ในปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี เป็นการรักษาตามอาการ แพทย์ผู้รักษาจะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรค และให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยผู้ป่วยในระยะแรกอาจยังไม่ต้องรับไว้ในโรงพยาบาล โดยแพทย์จะนัดตรวจตามอาการตั้งแต่วันที่ 3 ของอาการไข้เป็นต้นไป โดยติดตามทุกวันจนผู้ป่วยไม่มีไข้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง โดยไม่ใช้ยาลดไข้ สำหรับหลักการดูแลรักษาเมื่อเป็นไข้เลือดออกเบื้องต้น ได้แก่

 1. พักผ่อนให้เพียงพอ

  2. หากมีไข้ให้รับประทานยาพาราเซตามอลหรือเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ห้ามรับประทานยาประเภท NSAIDs และ Steroids เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟ่น โดยเด็ดขาด เนื่องจากยาเหล่านี้อาจะทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติในทางเดินอาหาร เกิดภาวะตับ/ไตวานเฉียบพลัน

  3. ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย และหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีดำ แดง น้ำตาล รวมทั้งการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น

 4. การให้สารน้ำทดแทนในปริมาณที่เพียงพอและเหมาะสม โดยการดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้แทนน้ำเปล่า เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำและเกลือแร่

  5. หากมีอาการที่เป็นสัญญาณเตือน (Warning sign) ว่าเข้าสู่ระยะวิกฤติ ให้รีบกลับมาพบแพทย์ทันที ได้แก่ 

   - ไข้ลดลงแต่อาการไม่ดีขึ้น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง กระสับกระส่าย 

   - ปวดท้องหรืออาเจียนมากกว่า 3 ครั้ง/วัน

   - หน้ามืด จะเป็นลม เวียนศีรษะ หรือมือและเท้าเย็น ซึมลง

   - ปัสสาวะลดลงหรือไม่มีปัสสาวะใน 4 - 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

   - เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อุจจาระสีดำ อาเจียนเป็นเลือด ประจำเดือนมานอกรอบหรือมามากผิดปกติ ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้มหรือดำ