svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

จิตแพทย์ชวนเช็กตัวเองว่ากำลัง "Burnout" หรือว่าเราแค่ขี้เกียจ?

แยกความต่างระหว่าง "ความขี้เกียจ" กับ "ภาวะ Burnout" ดูผลกระทบที่ตามมา พร้อมหาวิธีการป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน ทั้งในส่วนขององค์กรและคนทำงาน

บางครั้งผลจากการความเครียดเรื้อรังในสถานที่ทำงาน ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะตื่นมาตอนเช้าแล้วไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากเข้าประชุม เพราะทั่วโลกก้มีคนที่เป็นแบบนี้เช่นกัน จนถึงขั้นที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ขึ้นทะเบียนอาการข้างต้นให้เป็น  Burnout Syndrome หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน ซึ่งควรได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางก่อนจะรุนแรงและคุกคามการใช้ชีวิต

จิตแพทย์ชวนเช็กตัวเองว่ากำลัง "Burnout" หรือว่าเราแค่ขี้เกียจ?

แพทย์หญิงอริยาภรณ์ ตั้งชีวินศิริกูล

 

Burnout Syndromes ภาวะหมดไฟในการทำงาน

ภาวะหมดไฟ หมายถึงภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจที่เป็นผลมาจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน และไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ โดย แพทย์หญิงอริยาภรณ์ ตั้งชีวินศิริกูล จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์  (BMHH)(BMHH) อธิบายถึงอาการของภาวะ burn out ที่สามารถแบ่งได้ 3 ด้าน ได้แก่

1. Emotional Exhaustion ความเครียดทางอารมณ์ คืออารมณ์ความรู้สึกเหนื่อย เพลีย อ่อนแรง อ่อนล้า ไม่อยากปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน ไม่อยากการจัดการปัญหาเพราะความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้น

2. Depersonalization คือทัศนคติและพฤติกรรมเชิงลบที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นการแยกตัวจากสังคม ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์ รู้สึกตนเองแปลกแยกจากคนอื่น และความรับผิดชอบต่องานลดลง

3. Reduced Personal Achievement การประเมินตนเองเชิงลบ สงสัยและไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง รวมถึงทักษะในการเผชิญปัญหาลดลง

 

แยกความต่างระหว่าง "ความขี้เกียจ" กับ "ภาวะ Burnout"

จุดสังเกตของสองเรื่องนี้คือ "ความขี้เกียจ" มักส่งผลต่อความตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่างเท่านั้น ซึ่งเป็นได้ หายเร็ว ในขณะที่ "ภาวะ Burnout Syndrome" ในทางการแพทย์มักพบผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งมักมีอาการบ่งชี้อื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่

• รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย

• เบื่อหน่าย หมดความสนใจในสิ่งต่างๆ

• ขาดแรงจูงใจในการทำงาน

• ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

• ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและครอบครัวแย่ลง

• มีปัญหาในการนอนหลับ รับประทานอาหาร

• ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ

จิตแพทย์ชวนเช็กตัวเองว่ากำลัง "Burnout" หรือว่าเราแค่ขี้เกียจ?

การป้องกันการเกิดภาวะ Burnout

โดยองค์กร

  • ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน และเนื้อหาของงานให้เหมาะสมกับพนักงาน
  • จัดตารางการทำงานและการใช้ชีวิตให้เหมาะสม (work-life balance)
  • พัฒนาหัวหน้างานให้เป็นผู้นำที่ดี
  • ให้รางวัลเป็นสิ่งจูงใจ โดยหลีกเลี่ยงการให้เป็นเงิน
  • เฝ้าระวังและสังเกตภาวะ burnout ในพนักงาน
  • จัดตั้งหน่วยงานที่คอยให้คำปรึกษาด้านจิตใจ
  • พัฒนาจุดแข็งของพนักงาน
  • จัดตั้งกลุ่มให้การสนับสนุนพนักงาน

 โดยตัวพนักงานเอง

  • ปรับการใช้ชีวิต เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หาเวลาพักผ่อน
  • ฝึกการมีสติรู้ตัว
  • ประเมินและสังเกตความคิด อารมณ์ พฤติกรรมตนเองสม่ำเสมอ
  • จัดการเวลาทำงานของตนเอง ให้มีเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนที่ชัดเจน
  • มองหาคนที่จะพูดคุยเรื่องไม่สบายใจได้ หรือกลุ่มคนที่คอยเป็นกำลังใจ

เห็นไหมว่า "ภาวะหมดไฟในการทำงาน" เป็นเรื่องไม่ไกลตัว หากเราเองรู้ตัวหรือคนรอบข้างสังเกตได้เร็ว จะทำให้การจัดการทำได้ง่าย อาจเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อตนเอง ต่องาน จัดการเวลาในการทำงานและพักผ่อนให้เหมาะสม หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกไปทำกิจกรรมที่ชอบ พบปะเพื่อนที่สนิทใจ พูดคุยและรับแรงสนับสนุนกำลังใจจากคนรอบข้างหรือครอบครัว คุยกับหัวหน้างานในเรื่องที่รู้สึกอึดอัด เพื่อช่วยกันจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น จะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้ แต่หากทำตามวิธีดังกล่าวแล้วยังรู้สึกไม่ดี มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดที่คุมได้ยาก จัดการปัญหาไม่ได้ แนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์เพื่อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม