
อะโวคาโด ผลไม้ที่ให้พลังงานสูง อุดมไปด้วยไขมันดี มีวิตามินและแร่ธาตุมากกว่าผลไม้หลายชนิด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนรักสุขภาพในฐานะ Super Food ซึ่งเป็นที่นิยมในไทยช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน แต่เชื่อหรือไม่ว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมของผู้คนในอเมริกาเหนือและยุโรปมานานแล้ว โดยมีการบริโภคสูงถึงปีละ 5 ล้านตัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เม็กซิโกเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกอะโวคาโดรายใหญ่ที่สุดของโลก เจ้าของฉายา “ทองคำสีเขียว” ของชาวเม็กซิกัน โดยปริมาณการส่งออกคิดเป็น 50% ของอะโวคาโดที่ส่งออกทั่วโลก ซึ่งรายงาน Agricultural Outlook 2021-2030 ของ Organisation for Economic Cooperation and Development (OECD) และ United Nations Food and Agriculture Organization (FAO) ระบุว่า อะโวคาโดจะกลายเป็นผลไม้ที่ออกสู่ตลาดมากที่สุดในปี 2030 เพราะไม่แค่รสชาติที่อร่อย หอม มัน แต่เป็นเพราะคนในปัจจุบันดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยสายพันธุ์ที่รสชาติมัน เนื้อเนียน ยอดนิยมที่สุดคือ สายพันธุ์แฮสส์ (Hass)
ฤดูกาลเก็บเกี่ยวอะโวคาโด บางสายพันธุ์เริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา (ปีเตอร์สัน) บางพันธุ์ออกสู่ตลาดช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน (บัคคาเนีย บูธ7 บูธ8 ฮอล) และมีพันธุ์หนักออกผลในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ (พิงค์เคอร์ตัน แฮส) แต่เนื่องจากมีความต้องการของลูกค้า ทำให้เกษตรกรบางรายเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อจำหน่าย ส่งผลให้ผลผลิตบางส่วนเสียหาย เช่น ยังไม่สุกชิงเน่าไปเสียก่อน ผลเหี่ยวเนื่องจากเก็บผลอ่อน ผลสุกไม่พร้อมกัน ราเข้าขั้วผลทำให้เนื้อด้านในเน่าเสีย ปัญหาจากการเร่งเก็บเกี่ยวอาจทำให้ลูกค้าเกิดความไม่เชื่อมั่นในคุณภาพผลผลิต และทำให้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์อะโวคาโดพันธุ์ดีๆ หาทานได้ยาก
โดยปกติแล้ว ผลไม้ทั่วไปส่วนใหญ่ให้คาร์โบไฮเดรต แต่อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ให้ไขมันดีในปริมาณที่สูง ซึ่งจัดเป็น Super Food เพราะมีประโยชน์กับร่างกายมาก ไขมันที่ว่านี้คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว Monounsaturated Fat (MUFA) ซึ่งช่วยลดไขมันเลว (LDL-C) ในเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ ยังมีสารอาหารชนิดอื่นที่มีประโยชน์อีกมากมาย
คุณค่าโภชนาการและสารอาหารในอะโวคาโด 100 กรัม (ประมาณครึ่งลูก)
ในผลอะโวคาโด มีน้ำตาลน้อย มีไฟเบอร์สูง มีไขมันชนิดอิ่มตัวอยู่ต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล การรับประทานอะโวคาโดจึงไม่ทำให้อ้วน หรือมีน้ำหนักตัวเพิ่ม แต่ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน อะโวคาโด 100 กรัม มีไฟเบอร์หรือใยอาหารถึง 7 กรัม คิดเป็นเกือบ 27% ของที่ควรทานต่อวัน โดยแต่ละคนมีความต้องการไฟเบอร์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ในหนึ่งวัน ผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์ 25 กรัม และผู้ชายควรได้รับไฟเบอร์ 38 กรัม โดย 25% เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำ และ 75% เป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ยังมีการวิจัยช่วยคอนเฟิร์มเรื่องนี้อีกว่า อะโวคาโดคือผลไม้ที่เหมาะกับการทานช่วงลดความอ้วน โดยคนที่ทานอะโวคาโดในมื้ออาหาร 23% รู้สึกอิ่มและพึงพอใจมากกว่า และ 28% มีความต้องการทานอาหารที่ลดลงใน 5 ชั่วโมงถัดมาเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ได้ทาน จึงพูดได้ว่าการทานอะโวคาโดทำให้มีแนวโน้มที่เราจะทานแคลอรีน้อยลงเพราะความอยากอาหารอื่นๆ ลดลง ทำให้การทานนิสัยการทานอาหารจุบจิบลดลงไปด้วย
อะโวคาโดมีไขมันชนิดดี คือกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ถึง 70% ซึ่งมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดแดง เพราะจะช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือด เช่น คอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (Low Density Lipoprotein-LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจวายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ มีการวิจัยพบว่าคนที่กินอะโวคาโดเป็นประจำในช่วงเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยลดคอเลสเตอรอลรวม ลดไตรกลีเซอไรด์ ได้มากถึง 20% ลด LDL ได้มากถึง 22% และเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลดี ได้มากถึง 11% โดยการทานอะโวคาโดเพิ่มเข้าไปในอาหารแนวมังสวิรัติแบบไขมันต่จะำช่วยเรื่องลดคอเลสเตอรอลได้ดีที่สุด
โพแทสเซียม เป็นสารอาหารที่คนมักขาด ซึ่งจริงๆ แล้วมีหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกายและช่วยทำให้หัวใจเต้น กล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ มีบทบาทสำคัญในการทำงานของสมอง ซึ่งในอะโวคาโดมีโพแทสเซียมมากกว่ากล้วยซะอีก ใน 100 กรัม มีถึง 14% ของที่ควรทานต่อวัน ในขณะที่กล้วยมีประมาณ 10% ซึ่งผลไม้ทั้งสองจัดว่ามีโพแทสเซียมสูง ซึ่งมีส่วนช่วยปรับความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและไตวาย
จากโฟเลตที่มีอยู่ในอะโวคาโดจำนวนมาก มีความสามารถในการช่วยป้องกันความเสี่ยงจากมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน ในอะโวคาโดยังมีวิตามินอี ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งจากภายในและภายนอก ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เพราะในอะโวคาโดมีลูทีน (Lutien) เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่าสารสกัดอะโวคาโดอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ แต่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลองและมีข้อจำกัดค่อนข้างมากจึงไม่สามารถยืนยันสรรพคุณในข้อนี้ได้
ทั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่าโฟเลตช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ใน DNA และ RNA ระหว่างการแบ่งแซลล์ นอกจากจะช่วยป้องกันแล้ว อะโวคาโดยังอาจช่วยส่งเสริมการรักษาโรคมะเร็ง ด้วยพฤกษเคมีบางตัวที่จะเข้าไปขัดขวางการเติบโตของเซลล์มะเร็ง หรืออาจทำให้เซลล์มะเร็งตาย ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันนั่นคือ เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) และพฤกษเคมีในอะโวคาโดยังช่วยบรรเทาผลข้างเคียงการทำร้ายโครโมโซมจากยารักษามะเร็ง
อะโวคาโดมีทั้งลูทีน และซีอาแซนทิน สารพฤกษเคมี (phytochemicals) ที่มีอยู่เข้มข้นในเนื้อเยื่อดวงตาซึ่งมีหน้าที่ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ ลดการทำร้ายของแสงยูวี แสงสีฟ้าต่อดวงตา อีกทั้งกรดไขมันในอะโวคาโด ยังช่วยร่างกายให้ดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงสายตาอย่าง เบต้าแคโรทีน การทานอะโวคาโดเป็นประจำยังมีประโยชน์ในการช่วยชะลอความเสื่อมของสายตาจากวัยที่เพิ่มขึ้น และโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular degeneration) ทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ
เพราะโวคาโดอุดมด้วยกรดไขมันดีที่ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย ยังช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม อะโวคาโดยังมีสารอาหารจำเป็นที่ช่วยด้านการชะลอวัย มีวิตามิน A ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปและทำให้ผิวใหม่กระจ่างขึ้น แคโรทีนอยด์ carotenoid ในอะโวคาโดยังช่วยปกป้องผิวจากสารพิษ รังสีในแสงแดดและปกป้องผิวจากการเป็นมะเร็งผิวหนัง ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและเพิ่มมวลกระดูกไม่แพ้แคลเซียมและวิตามิน D อีกด้วย