svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

ตอบปัญหาหนักใจพ่อแม่ ทำอย่างไรเมื่อลูกเครียด?

พ่อแม่เข้ม เด็กเครียด จริงหรือ? เปิดสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดความเครียด เช็กระดับความเครียดที่พ่อแม่ควรเข้าใจ เพื่อช่วยลดผลกระทบทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพัฒนาการการเรียนรู้

"ลูกดื้อ ต่อต้าน ก้าวร้าว ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ ฝันร้าย มีปัญหาการกิน พัฒนาการถดถอย กัดเล็บ ดึงผม ไม่อยากไปโรงเรียน ผลการเรียนตก ติดเพื่อน เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เถียงพ่อแม่" ลูกเรากำลังมีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือไม่ เพราะบางครั้งพ่อแม่อาจคิดไม่ถึงว่าสิ่งสิเหล่านี้มีสาเหตุจาก "ความเครียด"

ตอบปัญหาหนักใจพ่อแม่ ทำอย่างไรเมื่อลูกเครียด?

เรื่อง "ความเครียด" ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ใหญ่อีกต่อไปอีกแล้ว มีผลการวิจัยพบว่า ร้อยละ 5-10 ของกลุ่มโรควิตกกังวลและซึมเศร้าที่เกิดจากความเครียดที่พบในเด็ก ส่วนมากจะพบว่าเป็นความเครียดที่เข้าสู่ระดับกลางถึงรุนแรง ขณะที่ความเครียดระดับธรรมดาพบได้มากถึงร้อยละ 20-30

พ่อแม่เข้ม ทำเด็กเครียด จริงหรือ?

หากถามว่าความเครียดของเด็กมาจากไหน เราได้รวบรวมสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดความเครียดมาไว้ ดังนี้

ภาวะเครียดในเด็กเกิดได้จากหลายสาเหตุ เริ่มต้นจากที่ "บ้าน" ทั้งจากครอบครัว พ่อแม่ทะเลาะกัน หรือการที่เด็กมักถูกตำหนิบ่อยๆ ทำให้เด็กเข้าใจว่าพ่อแม่ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ นานไปเด็กก็ซึมซับ เกิดความวิตกกังวลจนไม่สามารถตัดความคิดนี้ออกไปได้

ตอบปัญหาหนักใจพ่อแม่ ทำอย่างไรเมื่อลูกเครียด?

นอกจากนั้น "โรงเรียน" ก็มีส่วนทำให้เด็กเครียดได้เช่นกัน ครูดุ เข้มงวดเกินไป ลงโทษรุนแรง การบ้านเยอะ เด็กบางคนถูกเพื่อนแกล้ง ล้อเลียน ไม่คบด้วย ก็เกิดความวิตกกังวลว่าเพื่อนไม่รัก สำหรับเด็กบางคนที่พ่อแม่จริงจังเรื่องเรียนหรือสอบแข่งขันมากก็อาจต้องแบกรับความคาดหวังของทั้งพ่อแม่และครูซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกดดัน พ่อแม่ที่เครียดก็ส่งผลให้เด็กเครียดด้วย

สุดท้ายเรื่องของ "การปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลง" เช่น เปิดเทอม ย้ายโรงเรียน ย้ายบ้าน พ่อแม่เลิกรากัน รวมถึงการสูญเสียคนหรือสัตว์เลี้ยงที่รัก ภัยอันตรายต่างๆ ทำให้เด็กบางคนที่มีพื้นอารมณ์วิตกกังวลง่าย ไวต่อการกระตุ้น อ่อนไหว ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความเครียดได้ง่ายกว่าเด็กคนอื่น และที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ต้องรู้เลยก็คือ "พฤติกรรมติดเกม" ติดอินเทอร์เน็ตในเด็กบางคน ก็เพราะอยากหนีออกจากความเครียดในใจ จนส่งผลให้ลูกเกิดภาวะเครียดตามมาได้

ผลกระทบจากความเครียดในเด็ก

ความเครียดของเด็ก ส่งผลกระทบไปทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพัฒนาการการเรียนรู้ต่างๆ อาจทำให้เกิดอาการทางจิตใจหรือความเจ็บป่วยทางกายที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น ปวดท้อง ปวดหัว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน ขาดสมาธิ รับประทานได้น้อยลง พ่อแม่พาไปตรวจที่โรงพยาบาลทางกายก็ไม่พบสาเหตุชัดเจน อีกทั้งความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลกระทบถึงการเจริญพัฒนาของเซลล์ประสาทในสมอง หรือทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่ส่งผลถึงการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียนอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีอาการเหล่านี้ ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรพาเด็กมาขอรับคำปรึกษาจากผู้ชำนาญการทางด้านสุขภาพจิต เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจส่งผลต่อสัมพันธภาพกับคนรอบข้างเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

2 ระดับความเครียดในเด็ก ที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจ

  • ระดับที่ 1 ภาวะเครียดฉับพลัน (Acute Stress)

จะเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ เด็กอาจเครียด วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ แต่ไม่กระทบกับผลการเรียน และไม่กระทบกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง อาจเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น

  • ระดับที่ 2 ภาวะเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress)

ระดับความเครียดที่เริ่มรุนแรงขึ้น เริ่มส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง ซึ่งอาจรุนแรงและมีผลกระทบอย่างมากจนทำให้เด็กไม่มีสมาธิ ผลการเรียนตก ซึมเศร้า เหม่อลอย อยากตาย ร่างกายไม่มีพละกำลัง ทำให้เด็กต้องทุกข์ทรมานเป็นเวลานานๆ และอาจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเคมีในสมอง (Brain Chemistry) และทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง

ตอบปัญหาหนักใจพ่อแม่ ทำอย่างไรเมื่อลูกเครียด?

เช็กลิสต์อาการของเด็กที่มีความเครียด

การสังเกตเด็กที่เครียดอาจจะยาก แต่สามารถพบได้จากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ พฤติกรรมและทางร่างกาย เช่น

  • ร้องไห้และกรีดร้องบ่อยครั้ง
  • พฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อดึง เกเร
  • พัฒนาการในการเรียนรู้เกิดความบกพร่องและ/หรือลดลง
  • ทักษะการพูดอ่อน พูดติดอ่าง
  • ขาดความมั่นใจในตนเอง มีความวิตกกังวล หรือมีความกลัว
  • แยกตัวจากเพื่อน เล่นน้อยลง
  • ขี้หงุดหงิด ขี้แย
  • กลัวการแยกจากคนหรือสิ่งของ
  • ไม่มีสมาธิ มีปัญหาด้านความจำ บ่นปวดศรีษะ
  • น้ำหนักน้อยหรือตกเกณฑ์และไม่อยากอาหาร
  • ปวดท้อง หรือมีปัญหาในการย่อยอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท
  • ฝันร้าย

นอกจากนี้ ยังรวมถึงพฤติกรรมถดถอย เช่น ความสามารถในการช่วยเหลือตัวเอง (เช่น การอาบน้ำ แต่งตัว) ที่เด็กเคยทำได้เองแล้วแต่กลับเรียกร้อง / ร้องขอให้พ่อแม่ช่วย หรือปฏิเสธที่จะทำด้วยตัวเอง หรือการกลับมามีปัสสาวะรดที่นอน เป็นต้น

 

ทำอย่างไรเมื่อลูกเครียด?

1 หมั่นสังเกตพฤติกรรมลูก พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของลูกอยู่เสมอ เพราะเบื้องต้นแล้วพ่อแม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ โดยการเข้าไปพูดคุยหรือรับฟังความคิดเห็น เช่น เห็นลูกเงียบๆ เห็นลูกเหนื่อยๆ ก็ควรถามว่า “มีอะไรที่พ่อหรือแม่ช่วยลูกได้บ้าง” พยายามแสดงความเป็นห่วงและเข้าใจลูก แล้วพวกเขาก็จะรับรู้ว่าพ่อแม่เข้าใจเขามากขึ้น

2 หาสาเหตุที่ทำให้เด็กเครียดและแก้ที่สาเหตุนั้น ที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองต้องให้ความเข้าใจ ยอมรับเด็กในตัวตนของเด็กโดยไม่สร้างความคาดหวังที่กลายเป็นความกดดันจนเกินไป เด็กควรมีวิธีการจัดการกับความเครียดได้อย่างสร้างสรรค์ เช่น ได้เล่นกีฬาที่ชอบ อ่านหนังสือ เล่นสนุกกับเพื่อนตามความเหมาะสม ฯลฯ 

3 ยอมรับในความสามารถของเด็ก ไม่ควรบังคับเด็กให้ทำในสิ่งที่ยังไม่พร้อม ไม่เร่งเด็กในด้านวิชาการมากจนเกินไป และควรให้เวลากับเด็กในการเรียนรู้ปรับตัวด้านสังคมด้วย พ่อแม่ส่วนใหญ่มักมองข้ามและเร่งเด็กให้เรียนกวดวิชาเพิ่ม ทำให้ไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาทำกิจกรรมอื่นหรือเล่นกับเพื่อน ทำให้ “ขาดทักษะการเข้าสังคม” เข้ากับเพื่อนไม่ได้ และไม่รู้ว่าการเข้ากับเพื่อนต้องทำอย่างไรบ้างเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รวมถึงรับฟังความคิดเห็นเด็ก เมื่อเด็กทำผิดสิ่งที่ควรทำคือรับฟังความคิดเห็น และถามถึงเหตุผลที่เด็กกระทำสิ่งนั้นว่าคืออะไร? ทำไมจึงทำ? เมื่อทราบสาเหตุจะทำให้เข้าใจถึงการกระทำของเด็ก ส่งผลให้เราสามารถพูดคุยและสอนเด็กได้อย่างถูกต้อง และส่งเสริมให้เด็กได้แก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น

4 ไม่กดดันเรื่องการเรียน ไม่ควรกดดันลูกในเรื่องของการเรียน อย่าคาดหวังมากจนเกินไปเพราะจะทำให้เด็กเครียดได้ สมมุติว่าเด็กบางคนเรียนไม่ค่อยเก่ง แล้วพ่อแม่คาดหวังสูง ก็อาจทำให้เด็กกดดันและเครียดได้ แต่ถ้าเด็กเป็นคนอ่อนไหวต่อความรู้สึก แม้พ่อแม่ไม่ได้กดดันหรือคาดหวังอะไร เด็กก็อาจจะเครียดเอง เพราะสร้างความกดดันให้กับตัวเอง โดยที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ หรือไม่ก็เกิดการเปรียบเทียบและแข่งขันกับเพื่อน เพราะฉะนั้นในสถานการณ์เดียวกัน เด็กบางคนอาจจะเครียดและไม่เครียดก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของเด็กเอง

5 เน้นการพูดอย่างสร้างสรรค์ และแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับการพูดจากับเด็กให้มาก คือการพูดในทางบวก การชมเชยลูก การให้กำลังใจ ในการสอนลูก ควรใช้คำพูดที่สุภาพเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี และช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณและเด็กมีคุณภาพขึ้น ไม่ดุ ไม่ตำหนิ ไม่ตี ไม่ควรดุ ตำหนิ หรือใช้วิธีการตีกับเด็ก เพราะเด็กจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง อาจทำให้เข้าใจว่าพ่อแม่ไม่รัก อีกทั้งยังทำให้เด็กเกิดการต่อต้าน บางครั้งเด็กอาจเลียนแบบโดยใช้วิธีที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อตนเองไปใช้กับเพื่อนที่โรงเรียน พ่อแม่ควรมีสติและเหตุผลมากที่สุด นอกจากนั้นควรเลือกเพิกเฉยต่อเด็กอย่างสมเหตุสมผล เพราะบางอย่างเด็กอาจต้องการให้พ่อแม่สนใจเขา

6 เข้าใจและมีเวลาให้ ควรเข้าใจลูกให้มาก มีเวลาอยู่กับลูกบ่อยๆ เช่น ทำกิจกรรม เล่นกับลูก ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายแนบแน่น ถ้าหากลูกอยู่ในวัยประถมศึกษาก็อาจเล่นสนุกกับลูก ชมเชย และมีเวลาให้ลูกสม่ำเสมอ ส่วนลูกวัยรุ่นก็อาจเป็นเพื่อนคุย เป็นที่ปรึกษา ก็จะทำให้ลูกเล่าหรือระบายความในใจออกมาได้ เด็กก็จะไม่เครียด นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ให้เด็กได้พบกับประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ ที่นอกจากการเรียน เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เด็ก ควรให้เด็กรู้จักความผิดพลาดบ้าง เพื่อทำให้เด็กเกิดความเรียนรู้ รู้จักปรับตัวและรู้จักแก้ไขปัญหา

ทั้งนี้ ปัญหาความเครียดในเด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจและดูแล อย่าปล่อยปละละเลย หากพบว่าเด็กมีอาการซึมเศร้า ผิดปกติ พ่อแม่ได้พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายในครอบครัวแล้วแต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปพบกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นเพื่อรับการประเมินหาแนวทางดูแลและช่วยเหลืออย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไปได้

 

 

อ้างอิงข้อมูลจาก : จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลวิชัยยุทธ / โรงพยาบาลมนารมย์ / กรมสุขภาพจิต / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)