
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ผู้ป่วย “วัณโรค” ไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อีกทั้งยาในสมัยก่อนมีผลข้างเคียงเยอะ ทำให้ผู้ป่วยกินๆ หยุดๆ กินยาไม่ครบจนเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาเป็นสาเหตุทำให้ผู้ที่เป็นวัณโรคเสียชีวิตลง
ปัจจุบันวัณโรคไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะหากได้รับการรักษาที่ทันท่วงที กินยาจนครบก็สามารถรักษาได้ แต่ก็โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นเดียวกัน โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโรคได้คาดการณ์ตัวเลขของผู้ที่มีเชื้อวัณโรคอยู่ในร่างกายพบว่ามีมากถึง 54 ล้านคนทั่วโลก แต่จะมีผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้อยู่แค่ประมาณ 6-7 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนที่มีร่างกายอ่อนแอ ดังนั้น ถึงแม้จะรักษาจนหายดีแล้ว แต่หากวันไหนที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานตกต่ำลง โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำก็มีความเป็นไปได้สูง
วัณโรคคืออะไร ทำไมต้องรีบรักษา ?
วัณโรคเกิดจากการติดเชื้อไมโครแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium Tuberculosis) ที่สามารถแพร่กระจายได้ทางอากาศโดยผ่านทางการไอ จาม การพูด และการหายใจ
โดยความเสี่ยงของวัณโรคจะเพิ่มขึ้นหากเป็นผู้ที่เคยพักอาศัย หรือเดินทางมาจากพื้นที่ที่มีผู้ป่วยวัณโรคจำนวนมาก เคยมีการติดต่อ และสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากโรคร้ายแรง หรืออยู่ในระหว่างการรักษาด้วยยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน และผู้ที่มีสุขภาพไม่ดี จากปัญหาทางด้านโภชนาการ ติดยาเสพติด หรือพิษสุราเรื้อรัง ไม่เพียงเท่านั้น เด็ก และผู้สูงอายุยังเป็นวัยที่เสี่ยงต่อติดเชื้อวัณโรค เนื่องจากทั้ง 2 วัยนี้จะมีสุขภาพที่อ่อนแอกว่าคนในวัยผู้ใหญ่ ในขณะที่ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคได้น้อยกว่า เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายจะกำจัดเชื้อได้เองตามธรรมชาติ หรือหากเคยได้รับเชื้อมาก่อนแล้วผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง เชื้อก็จะไม่แสดงอาการใด ๆ เช่นกัน
วัณโรคปอดติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอากาศ (airborne transmission) เมื่อผู้ป่วยวัณโรคปอด ไอ จาม พูดดังๆ ตะโกน หัวเราะ ร้องเพลง ทำให้เกิดละอองฝอย (droplet nuclei) ฟุ้งกระจายออกมา ละอองฝอยที่มีขนาดใหญ่มากจะตกสงสู่พื้นดินและแห้งไป ละอองฝอยที่มีขนาดเล็ก 1-5 ไมโครเมตร จะลอยและกระจายอยู่ในอากาศ แพร่เชื้อให้ผู้ที่สูดเข้าไป
การแพร่กระจายเชื้อวัณโรคจะมากหรือน้อย พิจารณาปัจจัย 3 ด้านเพิ่มเติม คือ
เมื่อรับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย จะมีระบบภูมิคุ้มกันทำลายเชื้อ ถ้าร่างกายกำจัดเชื้อได้หมดจะไม่เกิดการติดเชื้อ แต่ถ้าร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด ยังคงมีเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ แสดงว่ามีการติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง (latent TB infection) เชื้อวัณโรคที่แฝงในร่างกายเป็นเชื้อที่ยังมีชีวิต แต่ไม่เจริญเติบโตหรือลุกลาม เมื่อร่างกายมีภาวะอ่อนแอ มีโรคร่วม อายุมากขึ้น ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อวัณโรคที่แฝงอยู่มีการเจริญเติบโตและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนทำให้ป่วยเป็นวัณโรคได้
โดยทั่วไปหลังสัมผัสผู้ป่วยวัณโรค
วัณโรคเป็นแค่การติดเชื้อที่ปอดหรือไม่?
แม้ในผู้ใหญ่มักจะพบส่วนใหญ่เป็นที่ปอด แต่ในเด็กอาจเป็นที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง กระดูก สำหรับการติดเชื้อของวัณโรคนอกจากจะติดเชื้อที่ปอดแล้ว สามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น การติดเชื้อขึ้นสมอง ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มปอด ไขกระดูก ตับ ต่อมหมวกไต ฯลฯ ซึ่งถ้าหากการติดเชื้อลุกลามไปในอวัยวะส่วนอื่น การรักษาจะยิ่งยากขึ้น และอาจมีภาวะแทรกซ้อนมากขึ้นตามมา ซึ่งตัวเลขของการติดเชื้อที่ปอดอยู่ที่ประมาณ 70-80% ส่วนอวัยวะอื่น ๆ พบได้ประมาณ 20-30% ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคนและความรุนแรงของโรคด้วย รวมทั้งขึ้นอยู่กับว่าเชื้อได้กระจายไปยังอวัยวะส่วนไหน เช่น ถ้ากระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง จะมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต มีก้อนอยู่บริเวณคอ ซึ่งหากดูภายนอกจะแยกไม่ออกว่าเป็นโรคมะเร็งหรือโรคอะไร ต้องใช้วิธีการตรวจชิ้นเนื้อถึงจะรู้ผล หรือถ้าเชื้อกระจายไปที่สมอง ส่วนมากจะพบในเด็กโดยจะมีอาการซึม ปวดศีรษะ ชัก แต่ถ้าพบในผู้ใหญ่จะมีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง คอแข็ง ชักหรือกระตุก เช่นเดียวกับเด็ก
ระยะอาการของผู้ป่วยวัณโรค
อาการวัณโรคแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแฝง (Latent TB) และระยะแสดงอาการ (Active TB) โดยในระยะแรกจะสังเกตได้ยากเพราะอาการจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ไปจนถึงหลายปีกว่าจะแสดงอาการให้เห็น
- ระยะแฝง (Latent TB) เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะยังไม่แสดงอาการใดๆ โดยเชื้อจะซ่อนอยู่ภายในร่างกาย จนกว่าร่างกายจะอ่อนแอ จะก่อให้เกิดอาการที่ชัดเจนได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยมีการตรวจพบในช่วงระยะแฝง แพทย์จะรักษาโดยการควบคุมการแบ่งตัวของเชื้อ รวมถึงลดความเสี่ยงที่โรคจะเข้าสู่ระยะแสดงอาการ
- ระยะแสดงอาการ (Active TB) ระยะที่เชื้อได้รับการกระตุ้นจนทำให้แสดงอาการต่างๆ ได้ชัดเจน เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก หรือรู้สึกเจ็บเวลาหายใจหรือไอ อ่อนเพลีย มีไข้ หนาวสั่น มีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน น้ำหนักลด หรือเบื่ออาหาร
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดวัณโรคปอดมีอะไรบ้าง ?
หากพบว่ามีอาการไอติดต่อเกิน 2 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไอแห้งๆ ไข้ต่ำๆ ตอนบ่ายหรือค่ำ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ตรวจหาวัณโรคทันที ส่วนกลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค ได้แก่ กลุ่มผู้อาศัยร่วมบ้าน หรือผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยวัณโรค ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ ผู้สูงอายุที่มีโรคร่วมต่าง ๆ (เบาหวาน ไต ถุงลมโป่งพอง ฯลฯ) ผู้ต้องขังในเรือนจำ แรงงานข้ามชาติ ผู้ติดสารเสพติด และบุคลากรสาธารณสุข ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซเรย์ปอดอย่างน้อยปี 1 ละครั้ง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอาการก็ตาม
ทั้งนี้ เราสามารถป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นวัณโรค ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารให้ ครบ 5 หมู่ ป้องกันตนเองโดยสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ หรือเมื่ออยู่ใน ชุมชนที่แออัด สำหรับผู้ป่วยวัณโรคให้สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อวัณโรคสู่ผู้อื่น และต้องกินยาให้ครบถ้วนสม่ำเสมอทุกวันจนครบระยะเวลาตามแพทย์สั่ง