svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

เจ็บหน้าอก เป็นๆ หายๆ อันตรายแค่ไหน เป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจหรือไม่?

อย่าชะล่าใจ! อาการเจ็บหน้าอก เป็นๆ หายๆ อาจเป็นภาวะเงียบของ “โรคหัวใจ” สัญญาณเตือนโรคเบื้องต้นที่คนมักคิดว่าไม่เป็นไร และอีกหลายอาการที่รู้ไว้ปลอดภัยกว่า

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปีที่ผ่านมาคนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดราว 60,000 คนต่อปี โดยพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ชายในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไป

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ มีทั้งเรื่องของกรรมพันธุ์ เพศ และอายุ เพศชายจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะในวัย 45 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงอัตราเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่ออายุประมาณ 55 ปีขึ้นไป หรือวัยทองหลังหมดประจำเดือน และเกิดจากพฤติกรรม เช่น ชอบการบริโภคอาหารไขมันสูง สูบบุหรี่ มีโรคความดันโลหิตสูง น้ำหนักตัวมากเกินไป ไม่ได้ออกกำลังกาย รวมถึงความเครียด

โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน มีนาทีทองของการรักษาประมาณ 90 นาทีหลังจากเริ่มเจ็บหน้าอก กล่าวคือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการรักษาเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ดังนั้น ควรมาโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการ

เจ็บหน้าอก เป็นๆ หายๆ อันตรายแค่ไหน เป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจหรือไม่?

เจ็บหน้าอก อันตรายแค่ไหน?

จากการรายงานสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก มากกว่า 6 ล้านคนต่อปี โดย 54% ของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอดจำเป็นต้องเข้ารักษาอย่างเร่งด่วนที่ห้องฉุกเฉิน ในปี 2564 มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากถึง 15,208 คน แม้จะได้รับการรักษา แต่ก็มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึง 2,196 คน คิดเป็นร้อยละ 17.55 ของผู้ที่เข้ารับการรักษา จะเห็นได้ว่าอาการ "เจ็บหน้าอก" ไม่ใช่เรื่องเล็ก

โรคหัวใจที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจ จะมีอาการ "เจ็บแน่นหน้าอก" และ "หอบเหนื่อย" อาการเจ็บอาจร้าวไปที่หัวไหล่หรือกราม บางคนมีอาการใจสั่นและหัวใจเต้นผิดจังหวะร่วมด้วย มักเกิดหลังจากการออกกำลังกาย การใช้แรง หรือเกิดตามหลังอารมณ์เครียดจัดเพราะความดันโลหิตสูง หากมีอาการเหล่านี้ควรพักอยู่นิ่งๆ หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ทันที่ พยายามอย่าออกแรงและไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เนื่องจากการออกแรงจะทำให้หัวใจสูบฉีดมากยิ่งขึ้น และอาการจะแย่ลงได้

บางครั้งอาการ "เจ็บแน่นหน้าอก" ของโรคหัวใจ อาจเป็นๆ หายๆ หลังออกแรงครั้งละ 20 นาที พอนั่งพักแล้วอาการก็หายไป ทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจที่จะมาพบแพทย์ ดังนั้น หากพบความผิดปกติเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาและรับคำแนะนำ สิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่งคือการตรวจร่างกายประจำปีอย่างสม่ำเสมอ การที่ร่างกายไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เป็นโรค แต่อาจอยู่ในภาวะเงียบของโรค ซึ่งยังไม่แสดงอาการ เช่น เส้นเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจต้องมีการอุดตันประมาณ 50-70% ไปแล้วถึงจะก่อให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อขาดเลือด การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง จะช่วยให้การทำงานของระบบไหลเวียนดีขึ้น และควรพบแพทย์เมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพราะวิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการดูแลสุขภาพของตนเอง

เจ็บหน้าอก เป็นๆ หายๆ อันตรายแค่ไหน เป็นสัญญาณเตือนของโรคหัวใจหรือไม่?

รู้หรือไม่ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย อยู่ในภาวะเครียด พักผ่อนน้อย ยิ่งหากใครที่สายปาร์ตี้ด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้นไปอีก

ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น โรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง

อาการสัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” ที่ต้องระวัง!!

  • เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เดินเร็วๆ หรือออกกําลังกาย
  • หายใจเข้าลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา เป็นขณะออกกำลังกาย ตอนใช้แรงมากๆ หรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืนขณะพักผ่อน
  • เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก เจ็บหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจหรือทั้ง 2 ข้างจนไม่สามารถนอนราบได้ตามปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจและอึดอัดตรงหน้าอก
  • อาการเจ็บหน้าอก เช่น บีบเค้นหน้าอกเหมือนมีของหนักกดทับ เจ็บหน้าอกร้าวไปกราม ขากรรไกร คอ แขน ไหล่ หลัง เจ็บหน้าอกร่วมกับเหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น เจ็บหน้าอกนานกว่า 20 นาที
  • หายใจหอบ จนบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก
  • เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ

เคล็ดลับสุขภาพ : ดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคหัวใจ

  • เลือกกินอย่างเหมาะสม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มจนเกินไป กินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเลือกชนิดที่น้ำตาลไม่สูง
  • ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในหลอดเลือด
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะการมีน้ำหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญในเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
  • งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง
  • ทำจิตใจให้แจ่มใส หากรู้ตัวว่ามีความเครียดควรรีบหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม
  • พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
  • เลือกตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมตามช่วงวัยและความเสี่ยง