svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

โลกร้อนขึ้นโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่วันละ 12 คน

"โรคมะเร็งผิวหนัง" ภัยจากแสงแดดที่คนไทยไม่ควรมองข้าม หลังแนวโน้มสูงขึ้น ชวนเช็กสัญญาณร้ายที่อาจเริ่มจากตุ่มและไฝธรรมดาก่อนพัฒนาเป็นเนื้อร้าย

แม้ว่าคนไทยจะค่อนข้างเคยชินกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวและแสงแดด และตัวเลขของ “โรคมะเร็งผิวหนัง” ยังพบได้ไม่มากในประเทศไทยหากเทียบกับมะเร็งอื่นๆ แต่กลับมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน โรคมะเร็งผิวหนังพบได้มากในชาวคอเคเซียน (Caucasian) หรือชาวยุโรป ในขณะที่ชาวเอเชียพบได้แค่ 1–2 % เท่านั้น โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย จากสถิติข้อมูลมะเร็งประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2559-2561 (Cancer in Thailand Vol.X 2016-2018) รวบรวมโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่าในแต่ละปีพบผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังรายใหม่เฉลี่ย 4,374 คนต่อปี หรือวันละ 12 คน ซึ่งมะเร็งผิวหนังมักพบที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว ส่วนใหญ่เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือเริ่มต้นเป็นแผลเล็กๆ แล้วจึงค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น มีลักษณะผิวขรุขระ ขอบเขตไม่ชัดเจน สีไม่สม่ำเสมอ

โลกร้อนขึ้นโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่วันละ 12 คน

มะเร็งผิวหนัง โดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ มะเร็งไฝ (Melanoma Skin Cancer) และมะเร็งชนิดที่ไม่ใช่มะเร็งไฝ (Non-Melanoma Skin Cancer) โดยที่เราจะสามารถแบ่งออกเป็นย่อยๆ ลงไปอีก คือขึ้นอยู่กับเซลล์ลักษณะต้นกําเนิด เช่น

1 มะเร็งผิวหนังชนิดเบเซลเซลล์ (Basal cell carcinoma) เป็นมะเร็งผิวหนังที่ร้ายแรงน้อย เพราะเกิดบริเวณชั้นตื้นๆ มักไม่กระจาย ไปยังอวัยวะอื่น แต่จะลามขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ และ อาจแตกเป็นแผลเรื้อรัง โดยอาจมีลักษณะเป็นตุ่ม เป็นแผลที่หายยาก หรือเป็นผื่น โดยมัก มีลักษณะเด่นคือ ขอบรอยโรคจะยกม้วนขึ้น

2 มะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ (Squamous cell carcinoma)มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า มักจะลุกลามลงลึกสู่ด้านล่างของเซลล์ผิวหนัง ถ้าคลำดูผิวหนังด้านล่างมักจะพบว่าเป็นก้อนแข็งๆโดยอาจจะเริ่มจากตุ่ม หรือผื่นขุยแล้วค่อยๆหนาตัวขึ้นกลายเป็นรอยโรค ขนาดใหญ่ และบางครั้งแตกเป็นแผล

3 มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (malignant melanoma) เป็นมะเร็งจากเซลล์เม็ดสี เมลานิน พบไม่บ่อย แต่มีความร้ายแรง เพราะสามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็ว โดยเป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงมาก โดยเป็นสาเหตุการตายถึง 75% ของผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังทั้งหมด 

สาเหตุของมะเร็งผิวหนัง

สาเหตุหลักที่สําคัญมาจากปัจจัยภายนอก คือการโดนแสงแดด หรือการโดนแสงรังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี เป็นระยะเวลานาน ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุได้ เช่น การติดเชื้อไวรัสประเภท HPV (Human Papillomavirus) การมีแผลเป็นเรื้อรังเป็นระยะเวลานานๆ การมีอายุเพิ่มมากขึ้นสามารถเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง รวมไปถึงการมีประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งบนผิวหนังอยู่แล้วก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ

โลกร้อนขึ้นโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่วันละ 12 คน

สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็งผิวหนัง

  • มีแผลเรื้อรังที่ไม่หายภายใน 3-4 สัปดาห์
  • ผื่นแดง อักเสบเรื้อรังหรือ มีอาการคัน และเจ็บได้
  • ตุ่มมันวาว นูน ขอบยกม้วน อาจมีสีดำหรือน้ำตาล หรือเป็นสีผิวปกติก็ได้
  • ผื่นเหมือนแผลเป็นสีขาว เหลืองมันเงา ขอบเขตไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่เคยบาดเจ็บหรือมีแผลมาก่อน
  • ไฝที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง หากมีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีขนาดโตขึ้นเร็ว สีของไฝเปลี่ยนไป มีแผลที่ไฝแล้วไม่หายภายใน 3-4 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ คนที่มีไฝจำนวนมาก หรือมีไฝขนาดใหญ่ มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งผิวหนังได้สูงกว่าคนที่ไม่มี

หลักการสังเกต "ตุ่มไฝต้องสงสัย" ที่นับว่าเป็นสัญญาณร้ายของโรคมะเร็งผิวหนัง

มีหลักง่ายๆ ในการสังเกตลักษณะโดยใช้หลัก A-B-C-D ดังนี้

A: Asymmetry ลักษณะผื่นที่ดูไม่ค่อยสวยงาม มีขอบเขตที่ด้านซ้ายกับด้านขวาไม่เท่ากัน

B: Border ขอบเขตของลักษณะตุ่มไฝ เป็นลักษณะที่ ไม่ค่อยขอบเรียบ แล้วก็ไม่สวยงาม มีขอบหยึกหยัก

C: Color มีลักษณะสีที่ดูสีไม่สม่ำเสมอกัน ดำเข้ม รวมถึงรอบๆ อาจจะมีลักษณะที่ขาวเกิน อาจจะต้องสงสัยว่าเป็นตุ่มไฝที่เป็นมะเร็งไฝ หรือเป็นแผลตรงบริเวณนั้นบ่อยๆ

D: Diameter ขนาดเป็นสิ่งสําคัญ ถ้าเกิดตุ่มไฝบริเวณนั้นเนี่ยมีขนาดใหญ่ ที่มีการโตขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้นๆ หรือว่ามีขนาดใหญ่มากกว่าประมาณ 6 มิลลิเมตรขึ้นไป ต้องสงสัยว่าเป็นมะเร็งไฝ

โลกร้อนขึ้นโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ไทยพบผู้ป่วยรายใหม่วันละ 12 คน

อายุมากขึ้น ตุ่มไฝเพิ่มขึ้น

การมีอายุที่มากขึ้นทำให้เซลล์ผิวหนังจะเป็นลักษณะที่มีการแบ่งตัวตลอดเวลา ในขณะเดียวกันเซลล์ไฝก็คือเป็นเซลล์ผิวหนังชนิดหนึ่ง การที่แบ่งตัวเป็นเรื่องปกติแล้วก็มีขนาดที่จะใหญ่ขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นได้ ดังนั้นสิ่งสําคัญคือการสังเกตตุ่มไฝตรงนั้นว่ามีความผิดปกติของ A-B-C-Dที่กล่าวมาหรือเปล่า ถ้าเกิดว่ามีขนาดใหญ่ขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น มีลักษณะที่เกิดบาดแผล รวมถึงมีประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งผิวหนังควรสงสัยว่าลักษณะของตุ่มไฝที่เห็นอาจเป็นสัญญาณร้ายของโรค

วิธีการสังเกตและการตรวจวินิจฉัย

เบื้องต้นหากสงสัยว่าตุ่มไฝตรงบริเวณนั้นมีลักษณะที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งไฝ อย่างแรกเลยก็คือแนะนำให้เข้ามารับการปรึกษากับแพทย์ผิวหนัง เพื่อตรวจโดยใช้อุปกรณ์ Dermoscopy ส่องดูสภาพผิวหนังเบื้องต้นเพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์โรคผิวว่ามีลักษณะที่ผิดปกติหรือไม่ หากแพทย์พบความผิดปกติร่วมกับการซักประวัติผู้เข้ารับการตรวจ จะพิจารณาทําการตัดชิ้นเนื้อ หรือว่า Skin Biopsy เพื่อส่งยืนยันตุ่มไฝทางพยาธิว่าเป็นลักษณะเซลล์ชนิดไหน ถ้าเกิดผลที่ออกมาทางพยาธิวิทยาพบว่าบริเวณนั้นเป็นมะเร็งผิวหนังหรือมะเร็งไฝ จะพิจารณาการรักษาโดยขึ้นอยู่กับบริเวณบนผิวหนังที่ผู้ป่วยเป็น เลือกการรักษาที่เหมาะสมร่วมกับแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ เช่น แผนกรังสีรักษา หน่วยเคมีบําบัด หรือแพทย์ศัลยกรรม เพื่อดูแลผิวหนังบริเวณนั้นหาชั้นตอนการรักษาที่ดีที่สุด

ลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ด้วยการตรวจสุขภาพผิวทุกปีได้หรือไม่?

โดยปกติผิวหนังเป็นอวัยวะสําคัญที่เราควรจะต้องมีการสังเกตตัวเองอย่างน้อยทุกเดือน เพื่อดูว่าเรามีลักษณะตุ่มอะไรที่สงสัยหรือมีความกังวลว่าเป็นตุ่มที่ผิดปกติไหม และควรตรวจสุขภาพผิวหนังโดยแพทย์อย่างน้อยทุก 3–6 เดือนว่ามีลักษณะเซลล์ที่เป็นตุ่มที่ต้องสงสัยว่าหรือไม่

แนวทางป้องกันไม่ให้เกิดตุ่ม ไฝมะเร็ง มีอะไรบ้าง?

สำหรับสาเหตุที่ทําให้เกิด “โรคมะเร็งผิวหนัง” เป็นหลักคือการสัมผัสกับแสงยูวีเป็นระยะเวลานานๆ สิ่งสําคัญที่ช่วยป้องกันอย่างแรกเลยก็คือ การใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดช่วยป้องกันแสงแดด การทาครีมกันแดด ที่ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการกันรังสียูวี โดยมีค่า SPF>50 เพื่อจะได้มีประสิทธิภาพในการกันรังสี UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงค่า PA บ่งบอกถึงการป้องกันรังสี UVA ควรจะมีค่าอย่างน้อย ++++ เพราะจะมีประสิทธิภาพในการป้องกัน และบริเวณที่ทา ปริมาณในการทาที่เหมาะสม เช่น บริเวณใบหน้า ทางแพทย์ผิวหนังจะแนะนําทุกคนให้ทาครีมกันแดดอย่างน้อยปริมาณสองข้อนิ้ว แล้วก็อย่าป้องกันแค่ใบหน้าอย่างเดียว อย่าลืมทาตรงบริเวณคอ แขน ขา เมื่อเราต้องไปออกโดนแดดเป็นระยะเวลานานๆ หรือว่าอยู่กลางแจ้งเป็นระยะเวลานานๆ ควรทากันแดดซ้ำทุก 2–3 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ในอาชีพที่ต้องมีการทํางานกลางแจ้งเป็นระยะเวลานานๆ  ควรจะต้องมีการตรวจ Screening ว่าตัวเองมีลักษณะผื่นผิวหนังหรือว่าตุ่มชนิดไหนที่มีการโตเร็วหรือว่ามีลักษณะความผิดปกติตามคําแนะนําหรือไม่ แล้วเข้ามารับการรักษาหรือมารับคําปรึกษา ในส่วนของผู้สูงอายุบางท่านที่มีประวัติเคยสัมผัสกับสารเคมีบางประเภท เช่น สารหนู (Arsenic) อาจจะต้องมีการเฝ้าระมัดระวัง เนื่องจากสารหนูเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่สามารถทําให้เกิดมะเร็งบางประเภทได้ นอกจากนี้ สําหรับผู้ป่วยบางรายที่มีความจําเป็นต้องรับประทานยากดภูมิบางประเภทเนื่องจากยากดภูมิเป็นหนึ่งปัจจัยได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น แนะนําว่าควรจะต้องมีการตรวจร่างกายตัวเองหรือว่าเข้ามารับการปรึกษากับแพทย์ผิวหนัง หากตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้นจะทำให้การรักษาโรคมะเร็งนั้นง่ายขึ้น เมื่อสงสัยว่าผิวหนังหรือไฝบนร่างกายของตนเองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและพบว่ามีความผิดปกติ ท่านควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและทำการรักษาที่ถูกต้อง โดยการรักษามะเร็งผิวหนัง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด ตำแหน่งของมะเร็ง ทั้งนี้ ด้วยวิธีการรักษาทางมาตรฐานมักจะต้องทำการผ่าตัดทั้งรอยโรคและในส่วนบริเวณผิวหนังที่ปกติโดยรอบออก อาจจำเป็นต้องตัดต่อมน้ำเหลืองในส่วนที่มะเร็งจะกระจายไป ซึ่งบางกรณีอาจต้องให้ยาเคมีบำบัด หรือการให้รังสีรักษาร่วมด้วย