
"อ้วนไป" "ผอมไป" วัดได้จากอะไร?
ค่าการชี้วัดถึงระดับความอ้วนมาตรฐานที่ใช้ประเมิน “โรคอ้วน” หรือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกายเกินปกติ ในทางสากลสามารถประเมินได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ
1.ค่าดัชนีมวลกาย BMI (Body Mass Index) เป็นการคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูงของแต่ละคน โดยมีสูตรคือ น้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลัง 2 ซึ่งมีเกณฑ์ค่าดัชนีมวลกายสำหรับคนเอเชีย ดังนี้
2.การวัดเส้นรอบเอว คือผู้ชายควรมีเส้นรอบเอวน้อยกว่า 90 เซนติเมตร หรือ 36 นิ้ว และผู้หญิงควรมีเส้นรอบเอวน้อยกว่า 80 เซนติเมตร หรือ 32 นิ้ว
ดัชนีมวลกาย (BMI) อาจไม่เชื่อมโยงกับโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
กรณีข้างต้น ล่าสุดมีรายงานผลการศึกษาใหม่พบว่า การมีน้ำหนักเกินตามที่กำหนดโดยดัชนีมวลกาย (BMI) อาจไม่เชื่อมโยงกับโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เมื่อพิจารณาแยกจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
กล่าวได้ว่าค่า BMI เป็นวิธีการวัดไขมันในร่างกายตามส่วนสูงและน้ำหนักของบุคคล โดยจัดกลุ่มประชากรผู้ใหญ่ออกเป็นระดับต่างๆ ตามไขมันในร่างกาย ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐกำหนดให้ผู้ใหญ่ “มีน้ำหนักเกิน” (over eight) หากค่า BMI อยู่ระหว่าง 25-29.9 ในขณะเดียวกัน ค่า BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปจะถือว่า “อ้วนเกิน” (obese)
ดร.อยุช วิซาเรีย แพทย์ประจำสาขาอายุรศาสตร์ที่คณะแพทยศาสตร์โรเบิร์ต วูด จอห์นสัน แห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส ในเมืองนิวบรันสวิก รัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวว่า
“สาระที่แท้จริงของการศึกษานี้คือ การมีน้ำหนักตัวเกินโดยนิยามตามค่า BMI นั้น ไม่ดีพอจะใช้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการเสียชีวิต และค่า BMI โดยทั่วๆ ไปก็ไม่ดีพอจะใช้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพ และควรใช้ข้อมูลด้านสุขภาพอื่นๆ มาประกอบด้วย เช่น รอบเอว การวัดไขมันในรูปแบบอื่นๆ และรูปแบบน้ำหนัก”
ในการศึกษาดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร PLOS ONE นักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมจากชาวอเมริกันที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี จำนวน 554,000 คน จากแบบสำรวจสัมภาษณ์สุขภาพแห่งชาติปี 2542-2561 และดัชนีการเสียชีวิตแห่งชาติของสหรัฐปี 2562 จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบกับระดับ BMI กับการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ดำเนินการโดยดร. วิซาเรียและผู้เขียนร่วม ดร. โซโกะ เซโตกุจิ ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และระบาดวิทยาที่คณะแพทยศาสตร์โรเบิร์ต วูด จอห์นสัน และคณะสาธารณสุขรัตเกอร์ส แห่งมหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส
ผลการศึกษาระบุว่า ความเสี่ยงของการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 18%-108% สำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีค่า BMI สูงกว่า 27.5 โดยความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นกราฟเส้นโค้งรูปตัวยู
อย่างไรก็ตาม ไม่มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปที่มีค่า BMI ระหว่าง 22.5-34.9 ซึ่งเป็นช่วงที่รวมทั้งน้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน ไปจนถึงภาวะอ้วน
การค้นพบที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ที่มีอายุ 20-65 ปีที่มีค่า BMI ระหว่าง 24.5-27.5 ซึ่งเป็นระดับล่างสุดของช่วงน้ำหนักเกินนั้น ไม่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ดร. วิซาเรียระบุถึงข้อจำกัดของการศึกษาครั้งนี้ว่า แม้ว่าการศึกษาจะมีการควบคุมตัวแปรการสูบบุหรี่และโรคอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ข้อมูลดังกล่าวจะถูกรวบรวมเพียงครั้งเดียวสำหรับแต่ละคนในการสำรวจ ดังนั้น การศึกษาจึงไม่สามารถติดตามได้ว่าบุคคลนั้นๆ มีภาวะอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน ที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในภายหลังหรือไม่
ดูแลสุขภาพตามค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
น้ำหนักน้อย (ดัชนีมวลกายน้อยกว่า 18.50)
ภาวะผอมหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ อาจเกิดจากหลายสาเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะทุพโภชนาการ การสูบบุหรี่เป็นประจำ การใช้สารเสพติดหรือการเจ็บป่วย อันอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุร่วมและวางแผน การรักษาอย่างเหมาะสม
ในกรณีของผู้หญิงที่ผอมอาจมีผลให้รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีบุตรยาก มีโอกาสเป็นหมันสูงขึ้น และหากตั้ง ครรภ์ก็อาจแท้งหรือมีบุตรที่ไม่แข็งแรงได้ ดังนั้น การเพิ่มน้ำหนักให้ปกติก่อนตั้งครรภ์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนอกจากความผอมจะนำมาซึ่งสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนต่อไปในอนาคตได้มากกว่าคนทั่วไป และเมื่ออายุมากขึ้นจะทำให้มีการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อระหว่างการเจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว เป็นผลทำให้ฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยได้ช้ากว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
น้ำหนักปกติ (ดัชนีมวลกาย 18.50 - 22.99)
น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือมีรูปร่างสมส่วน ซึ่งต้องพยายามดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักไว้ในระดับเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ โดยรับประทานอาหารให้ได้สัดส่วนและครบหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเฝ้าระวังภาวะเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละช่วงวัย
น้ำหนักเกิน หรือรูปร่างท้วม (ดัชนีมวลกาย 23.00-24.99)
ภาวะน้ำหนักเกินและอาจนำไปสู่ภาวะอ้วน แสดงถึงการที่เริ่มมีความเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้หากมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังนำไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อมและกระดูก รวมถึงโรคอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น เคล็ดลับสำหรับภาวะน้ำหนักเกิน ได้แก่
โรคอ้วน (ดัชนีมวลกาย 25.00-29.99)
การมีน้ำหนักสูงกว่ามาตรฐาน ก่อให้เกิดไขมันส่วนเกินมากกว่าปกติ ซึ่งสามารถไปสะสมในแต่ละส่วนของร่างกายตั้งแต่ระดับชั้นใต้ผิวหนัง ตามผนังเส้นเลือด และเกาะที่ตับได้ นำมาสู่ภาวะอ้วนลงพุง ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันโลหิตสูงเพิ่มความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังอาจเป็นเหตุของข้อเข่าเสื่อม โรคเก๊าท์ และโรคเส้นเลือดสมอง จนถึงการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ามีสาเหตุอื่นร่วมให้เกิดภาวะอ้วน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมอีกครั้ง รวมทั้งมีเคล็ดลับสำหรับโรคอ้วน คือ 3 สกัด 3 สะกิด และ 3 สะกดใจ ดังนี้
โรคอ้วนรุนแรง (ดัชนีมวลกายเท่ากับหรือมากกว่า 30)
การมีน้ำหนักเข้าเขตอันตราย ทำให้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่รุนแรงหลายๆ อย่าง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไขมันเกาะตับ (อันนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้) โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเก๊าท์ ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ 5 เท่า โรคหลอดเลือดสมองที่นำไปสู่อัมพฤกษ์ อัมพาตและอัลไซเมอร์ เสี่ยงต่อการมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ 3 เท่า อ้วนลงพุงเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ 2.1 เท่า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นโรคอ้วนรุนแรง จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และควรต้องลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนและจริงจัง ซึ่งหัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักอย่างถาวร คือ รับประทานอาหารไขมันต่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน เน้น ผัก ปลา และธัญพืช รวมทั้งเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงโรคต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ