svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

ก้าวทันอันตรายของ “โรคลมชัก” อาจทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้เช่นกัน หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ขับรถ ว่ายน้ำ หรือทำภารกิจสำคัญ ปัจจุบันมีการพัฒนาตัวยารักษาโรคลมชักที่ทันสมัย ผู้ป่วยโรคลมชักที่เข้ารับการรักษากว่า 60-70% จึงสามารถหายได้

อีกหนึ่งภัยร้าย ภัยเงียบที่ไม่ควรประมาท “โรคลมชัก” มาทำความเข้าใจ รู้จักอาการและอ่านคำเเนะนำป้องกันอุบัติเหตุ

“โรคลมชัก” หรือ Epilepsy เกิดจากการที่เซลล์สมองปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมามากผิดปกติ โดยแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ โรคลมชักที่มีจุดกำเนิดชักเฉพาะที่ หรือเกิดขึ้นกับสมองบางส่วน (Focal epilepsy) และโรคลมชักที่กระจายไปทั่วสมอง 2 ข้างอย่างรวดเร็ว (Generalized epilepsy)

สาเหตุของโรคลมชักจะแตกต่างกันไปตามช่วงอายุ เช่น

“ในกลุ่มเด็ก” พบว่าอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม ความผิดปกติของสมองที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือมีการติดเชื้อในสมองและจากไข้สูง เป็นต้น “ในกลุ่มผู้ใหญ่” พบว่ามีสาเหตุจากอุบัติเหตุทางสมอง เนื้องอกสมอง เป็นต้น

“ในกลุ่มผู้สูงอายุ” มักมีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดสมอง อย่างไรก็ตาม พบว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคลมชัก มักไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่แน่ชัด

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

โรคลมชัก พบได้ประมาณ 1% ของประชากร หรือประมาณ 6 แสนราย โรคที่เกิดจากหลายสาเหตุปัจจัยหนึ่งในนั้นคือเกิดจากโรคทางสมอง อาทิเนื้องอก เส้นเลือดผิดปกติ รู้จักอาการสัญญาณเตือน การรักษา ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถเรียนหนังสือ ทำงาน และกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปได้

ผู้ป่วยโรคลมชักสามารถมีอาการชัก (seizures) โดยไม่มีเหตุกระตุ้น ขณะที่ผู้ป่วยบางส่วนอาจเกิดอาการชักเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น เมื่อมีการอดนอน มีความเครียด รูปแบบอาการชัก (seizure) จะแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบง่าย ๆ ได้แก่

1. อาการชักแบบเกร็ง กระตุก

2. อาการชักแบบเหม่อลอย ผู้ป่วยอาจทำอะไรไม่รู้ตัว มีการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ เช่น มีการเคี้ยวปาก มือคลำสิ่งของหรือเสื้อผ้า เป็นต้น ซึ่งคนทั่วไปมักไม่ทราบว่าลักษณะนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของอาการชัก

ทั้งนี้ พบว่าหากผู้ป่วยมีอาการชักบ่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก อาจส่งผลต่อพัฒนาการที่ล่าช้า ไม่เป็นไปตามช่วงอายุ ในขณะที่ผู้ใหญ่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าการชักบ่อยส่งผลต่อเซลล์สมองอย่างไร แต่พบว่าในช่วงหลังจากเกิดอาการชักใหม่ๆ ภายใน 5 นาที-1 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจทำอะไรช้าลง สับสน ซึ่งจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

นายแพทย์ชูศักดิ์ ลิโมทัย อายุรแพทย์ระบบประสาทเฉพาะทางด้านโรคลมชัก โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า

วิธีการรักษาโดยทั่วไปจะเริ่มจากการใช้ยากันชักเป็นหลัก แต่ในกลุ่มผู้ป่วยลมชักที่เกิดเฉพาะที่ หากได้ยาไปแล้ว ยังไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ แพทย์อาจพิจารณาตรวจหาจุดกำเนิดชักเพื่อวางแผนผ่าตัด

นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ป่วยทั้งกลุ่มโรคลมชักแบบเฉพาะที่ และแบบกระจายทั้งสมอง ยังสามารถใช้รักษาได้ด้วยการใช้คลื่นกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation) หรือ เครื่องกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus nerve stimulation : VNS) เพื่อควบคุมอาการชัก ในกลุ่มที่สามารถให้ความร่วมมือด้านโภชนาการได้ ยังสามารถใช้วิธีการรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิค เพื่อช่วยลดอาการชักได้เช่นกัน

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคลมชักจะเน้นไปที่การป้องกันตามสาเหตุ เช่น ในเด็กควรป้องกันไม่ให้เกิดไข้สูงบ่อย ๆ ในผู้ใหญ่ควรป้องกันหรือระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุที่จะกระทบต่อสมอง และในผู้สูงอายุ ควรป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยส่วนใหญ่อาการชักสามารถหยุดเองได้ในระยะเวลา 1-2 นาที

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

เพราะฉะนั้นหากพบเห็นผู้ป่วยมีอาการชัก สิ่งที่คนทั่วไปจะช่วยได้คือจับผู้ป่วยนอนตะแคง เพื่อไม่ให้เกิดการสำลัก และที่สำคัญคือห้ามใส่อะไรก็ตามเข้าไปในช่องปากของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายทั้งกับผู้ป่วยและผู้ปฐมพยาบาลเอง

เพื่อเป็นการเตือนให้ตระหนักถึงภัยเงียบใกล้ตัวจากโรคลมชัก พ.อ. (พิเศษ) ดร.น.พ.โยธิน ชินวลัญช์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอายุรกรรมสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้ข้อมูลถึงความน่ากลัวของโรคภัยชนิดนี้กับประชาชนว่า

“ในเมืองไทยมีการประมาณตัวเลขผู้ป่วยโรคลมชักเอาไว้ราว 6-7 แสนคน ซึ่งหมายความว่าจะพบคนที่เป็นโรคลมชัก 1 คน ในทุก 100 คน โดยสาเหตุของโรคเกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าภายในสมองลัดวงจร จนก่อให้เกิดอาการชักตามมา นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุมาจากโรคทางกรรมพันธุ์, ภาวะติดเชื้อในสมอง, สมองขาดออกซิเจน มีไข้สูงแล้วชัก มีอุบัติเหตุทำให้เกิดแผลเป็นในสมอง เซลล์ในสมองอยู่ผิดที่ ไปจนถึงเนื้องอกในสมอง และอีกหลายสาเหตุ”

น.พ.โยธินกล่าวว่า ภาวะชักมีอยู่หลายประเภท อาทิ เหม่อลอย, เกร็ง, กระตุก, คอบิด แขนเหยียดไม่เท่ากัน หรือมีอาการชักทั่วทุกส่วนที่เรียก โรคลมบ้าหมู อาจจะเป็นอาการที่สังเกตง่าย ผู้ป่วยมีโอกาสถูกนำตัวส่งแพทย์และได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ สูง โรคลมชักหากได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ และถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหายขาดได้

“ถ้าปล่อยให้คนไข้ชักอยู่เรื่อย ๆ สภาวะที่กระแสไฟฟ้าในสมองถูกระตุ้นมากเกินไป จะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารทำลายเซลล์สมอง เซลล์สมองจะตาย เน็ตเวิร์กภายในเซลล์สมองจะเสีย คนไข้ที่มีอาการชักนาน ๆ พอเอกซเรย์สมอง 2 ปีถัดมา พบว่าสมองเหี่ยวลง สมองส่วนความจำก็เหี่ยวด้วย แล้วยังกระทบต่อสมองส่วนอื่น ภาวะเหล่านี้ถ้าเรารักษาช้า คนไข้จะไม่สามารถกลับมาปกติเหมือนเดิมได้เลย”

ด้าน รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า กลุ่มเสี่ยงคือผู้ป่วยชาย หากมีความถี่ของการชักสูงก็ยิ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนน โดยกลุ่มผู้ป่วยอายุ 18-25 ปี มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุทางจราจรสูงเป็น 3-4 เท่าของกลุ่มอายุอื่น

โดยผู้ป่วยโรคลมชักทุกคนมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุแตกต่างกัน ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้บ่อย ได้แก่

1) ชนิดของการชัก พบว่า การชักชนิดเกร็งกระตุกทั้งตัวและหมดสติ หรือการชักชนิดล้มลงกับพื้นทันทีเนื่องจากเกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออย่างทันที เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากกว่าการชักชนิดอื่นๆ เพราะผู้ป่วยจะหมดสติและล้มลงขณะชัก แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการเตือนก่อนการชักก็จะเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่า เพราะผู้ป่วยทราบว่าจะเกิดอาการชักจึงสามารถหยุดทำกิจกรรม นั่งหรือนอนลงกับพื้นได้

2) ความถี่ของการชัก ถ้าผู้ป่วยชักบ่อยมากกว่า 1 ครั้งต่อเดือน มีโอกาสสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุ

3) ผู้หญิง พบว่ามีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากไฟไหม้น้ำร้อนลวกมากกว่าผู้ชาย เพราะหน้าที่ในการทำงานบ้านของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เช่น ปรุงอาหาร รีดผ้า เป็นต้น

4) ช่วงเวลาที่เกิดอาการชัก พบว่า ถ้าอาการชักเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืน หรือขณะที่นอนหลับเท่านั้น โอกาสที่เกิดอุบัติเหตุน้อยมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่พักผ่อนและนอน แต่ถ้าอาการชักเกิดขึ้นในเวลากลางวันขณะที่ทำงาน หรืออยู่นอกบ้าน ระหว่างการเดินทางก็จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่ามาก

5) ผลแทรกซ้อนจากการรับประทานยากันชัก เช่น ง่วง ซึม เดินเซ มือสั่น เสียการทรงตัว

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

สำหรับแนวทางป้องกันอุบัติเหตุสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก ได้เเก่

1) ต้องรับการรักษาโรคลมชักเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง เพื่อควบคุมไม่ให้มีอาการชัก และระวังผลแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น อาการเดินเซ มือสั่น หรือซึม พยายามอย่าให้เกิดขึ้น ถ้ามีอาการผิดปกติต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสมต่อไป

2) ทำกิจกรรมต่างๆ ตามคำแนะนำ ดังนี้

-การขับรถถ้าจำเป็นจริงๆ ควรหยุดขับรถอย่างน้อย 6 เดือนหลังควบคุมการชักได้ ถ้าจะให้ดีควรหยุดขับรถอย่างน้อย 1 ปี หลังจากการชักครั้งสุดท้าย แต่ถ้าเป็นพนักงานขับรถก็ไม่ควรขับรถจนกว่าจะควบคุมอาการชักได้นานมากกว่า 5 ปี และสามารถหยุดยากันชักได้แล้ว

-การปรุงอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการใช้เตาแก๊สและเตาถ่าน โดยแนะนำใช้เตาไมโครเวฟแทน แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ควรปรุงอาหารด้วยความระมัดระวัง และถ้ามีอาการเตือนก่อนชัก ควรรีบหยุดทำทันที

-การอาบน้ำ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ หรือแม่น้ำลำคลอง ควรนั่งอาบน้ำและไม่ควรล็อกประตูห้องน้ำ เพราะถ้ามีอาการชักจะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงและผู้ให้การช่วยเหลือจะได้เข้าให้การช่วยเหลือได้ง่ายและรวดเร็ว

-การว่ายน้ำ ไม่ควรว่ายน้ำคนเดียว ควรมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดและไม่ควรว่ายน้ำจนเหนื่อย เพราะจะกระตุ้นให้มีอาการชักได้ง่ายขึ้น

-ไม่ควรอยู่ในที่สูงตามลำพัง

-ไม่ควรเล่นกีฬาที่มีการปะทะกันหรือเล่นกีฬาผาดโผน

-ถ้าชักถี่มากๆ และล้มบ่อยๆ อาจใส่หมวกกันน็อกเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะ

-การนอนไม่ควรนอนบนเตียงที่สูงจากพื้นมากๆ ดีที่สุดควรนอนกับพื้นหรือที่นอนวางติดกับพื้น และไม่ควรมีสิ่งของต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้วางไว้ใกล้ๆ ที่นอน เช่น ตู้ไม้ กระติกน้ำร้อน เพราะถ้ามีอาการชักขณะนอนหลับนั้น ผู้ป่วยอาจมีการเกร็งกระตุกของแขนขาและไปโดนสิ่งของเหล่านั้น ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายขึ้น

อุบัติเหตุที่เกิดจากการชักส่วนใหญ่ไม่รุนแรง และสามารถป้องกันได้ โดยการควบคุมการชักให้ดี และปฏิบัติตนตามคำแนะนำในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคลมชัก และพยายามไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนจากการใช้ยากันชักก็จะป้องกันได้เป็นอย่างดี

จับตาอาการลมชัก 4 แบบที่พบบ่อย

อาการชักเฉพาะที่ (ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว) โดยกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติอาจรบกวนสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานแห่งใดแห่งหนึ่งในร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่างๆ โดยที่ยังไม่รู้ตัว เช่น อาการชา หรือกระตุกของแขนขาหรือใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งเป็นซ้ำๆ โดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง หวาดกลัวความรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกเหมือนฝัน หูแว่ว เห็นภาพหลอน หรือหัวใจเต้นผิดปกติ

อาการชักแบบเหม่อลอย ผู้ป่วยมักจะมีอาการเตือนนำมาก่อนเหมือนดังที่กล่าวมาแล้ว ตามด้วยอาการเหม่อลอยผู้ป่วยมักจะทำปากขมุบขมิบหรือเคี้ยวปากหรือมือเกร็งหรือขยับไปมา อาจคลำตามเสื้อผ้าอย่างไม่รู้ตัว เคลื่อนไหวแขนขาอย่างไร้จุดหมายโดยไม่รับรู้สิ่งรอบข้างแล้ว โดยที่จำเหตุการณ์ระหว่างนั้นไม่ได้ อาการเหม่อลอย จะนานประมาณไม่กี่วินาที จนถึงหลายๆ นาทีหลังจากนั้นผู้ป่วยมักจะมีอาการสับสน ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการพูดไม่ได้หรือยกแขนข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้อีกหลายนาทีกว่าจะตื่นเป็นปกติ

อาการชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัว (Focal to bilateral tonic-clonic) เกิดจากการที่กระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติรบกวนเวลาการทำงานของสมองทั้งหมด จะเกิดอาการชักที่เรียกว่า “อาการชักทั่วทุกส่วน” หรือที่เรียบว่าลมบ้าหมู ชนิดที่พบบ่อยคือ อาการชักเกร็งกระตุกทั้งตัว ผู้ป่วยจะสูญเสียความรู้สึกตัวทันที และล้มลงกล้ามเนื้อจะแข็งเกร็งทั่วทั้งตัวตาจะเหลือกค้าง น้ำลายฟูมปาก อาจจะกัดลิ้นตนเองหรือปัสสาวะราด ระยะเวลาชักนานประมาณ 2-3 นาที หลังชักมักจะเพลียและนอนหลับหลังจากหยุดชัก

อาการชักแบบเหม่อนิ่ง (Absence) พบได้บ่อยในวัยเด็ก อาการจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นมาก ผู้ป่วยจะจ้องไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายเป็นระยะเวลาสั้นๆ คล้ายเหม่อประมาณ 2-3 วินาที แล้วกลับมาทำสิ่งที่ค้างอยู่ต่อไปโดยมักไม่มีการเคลื่อนไหวแขนขา

 

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

เกาะติดนวัตกรรมการรักษาโรคลมชัก

ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรคลมชักได้ดีขึ้นมาก เช่น

เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography : EEG) ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักทุกราย ควรได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อที่จะได้ทราบชนิดของการชักว่าเป็นแบบเฉพาะที่ (focal) หรือแบบแพร่กระจาย (generalized) ซึ่งชนิดของการชักมีความสำคัญต่อการรักษา โดยหากทราบชนิดของการชักจะสามารถเลือกยากันชักที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ ทำให้ควบคุมอาการชักได้ดีขึ้น และนอกจากนั้น EEG ยังสามารถบอกสาเหตุและบริเวณสมองที่เป็นสาเหตุของอาการชักได้อีกด้วย
การตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI) ในการตรวจวินิจฉัยรอยโรคของผู้ป่วย ซึ่งเครื่องนี้มีความคมชัดและแม่นยำสูง การตรวจ MRI จะดีกว่าเมื่อเทียบกับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography: CT) ในสมัยก่อน ทำให้ก่อนหน้านี้ไม่สามารถหาสาเหตุของโรคลมชักได้อย่างแม่นยำ แต่ปัจจุบันเครื่อง MRI ทำให้เราสามารถหาสาเหตุของโรคลมชักได้ชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น

รักษาโรคลมชัก

ให้ยากันชัก ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาชนิดใหม่ๆ ที่สามารถควบคุมอาการชักได้ดี ปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย เช่น อาการง่วงซึมหรือเวียนศีรษะน้อยลง
การผ่าตัด ทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยในกลุ่มที่ไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมอาการโดยใช้ยากันชักเพียงอย่างเดียว โดยการผ่าตัดในโรคลมชักจะมีการประเมินหาจุดกำเนิดของอาการชักอย่างละเอียดก่อนทำการผ่าตัดทุกครั้ง มีการตรวจ EEG และ MRI แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการวินิจฉัย เพื่อหาจุดกำเนิดของอาการชัก ทำให้สามารถบ่งบอกจุดกำเนิดของอาการชักได้อย่างแม่นยำและผ่าตัดสมองในเฉพาะส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้ผลการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดสามารถทำให้ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยากันชักสามารถควบคุมอาการชักได้สูงถึง 70% และผลข้างเคียงหลังผ่าตัดมีน้อยมาก มีความปลอดภัยสูง

หนึ่งภัยเงียบอย่าชะล่าใจ "โรคลมชัก" พบเร็ว รักษาได้ โอกาสหายสูง

อ้างอิงที่มา : หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,901 วันที่ 2 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2566