
พฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งการกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ ถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด ในขณะที่ภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 3 ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดภาวะน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน คือการกินอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งในปัจจุบันคนไทยเกินกว่าร้อยละ 60 ถือว่ากินผักผลไม้ในปริมาณน้อย โดยเฉลี่ยแค่วันละ 186-300 กรัมเท่านั้น ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าคนเราควรกินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม อีกทั้งคนไทยยังมีแนวโน้มเข้าถึงอาหารแปรรูปต่างๆ มากขึ้น เพราะสามารถซื้อหาได้ง่าย มีให้เลือกหลากหลาย และราคาไม่แพง
รู้ว่าผักดี แต่ไม่กิน...บอกลา 5 เหตุผลของคนไม่กินผัก
ข้อ 1 ถึงเราไม่กินผัก ก็ยังร่างกายปกติ!!
ไม่กินผัก ใช่ว่าจะไม่เป็นอะไร หลายคนโตมาโดยที่หลีกเลี่ยงผักแล้วก็คิดว่าก็ไม่กินผักก็ไม่เห็นเป็นไร ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะเขายังไม่เห็นผลในระยะยาวว่า การบริโภคผักผลไม้อย่างเพียงพอในแต่ละวัน สามารถลดภาวะโรคต่างๆ ได้แก่ หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่
แล้วก็ลองสังเกตตัวเองดูว่า ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ค่อยจะปกติบ้างไหม เพราะการขาดเกลือแร่และวิตามินจากผักผลไม้ อาจนำไปสู่อาการผิดปกติบางอย่าง เช่น ภาวะซีดและอ่อนเพลียในคนที่ขาดธาตุเหล็ก อาการผิวแห้งและอัตราการเผาผลาญต่ำในคนที่ขาดวิตามินบี รวมทั้งพวกสามวันดีสี่วันไข้ เป็นหวัดบ่อย ติดเชื้อง่าย เจ็บคอ เรียกว่าสารพัดโรคถามหากันเลยทีเดียว
ข้อ 2 ก็ผักมันขม กินขนมดีกว่า
ข้ออ้างที่มักได้ยินจากปากเด็กๆ ซึ่งผู้ใหญ่ควรปลูกฝังชุดความคิดให้เด็กๆ เช่น ยังมีผักอร่อยที่ไม่ขมอีกมากมายให้เลือกกิน หรือเมนูผักก็อร่อยได้แค่รู้จักปรุง หรือลองเปิดใจลองผักต่างๆ ดูแล้วจะติดใจ เพราะยังมีผักที่ยังไม่เคยกินแล้วค้นพบว่ามันอร่อยมากเลยทีเดียว
ถ้ามันยังยากอาจจะเริ่มจากการเพิ่มตัวช่วย อย่างน้ำสลัดที่ชอบ เติมน้ำยำรสเด็ดมาคลุกเคล้าก็อาจช่วยให้กินผักต่างๆ ได้ง่ายขึ้น หรือจะเป็นผักชุบแป้งทอด หรือใช้ผักที่ผ่านการดัดแปลงอาหารปกติเมนูที่เราคุ้นเคยอย่างต้ม ผัด แกง ทอด ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ แล้วใส่ผักเป็นวัตถุดิบให้มากขึ้น จะลองเปลี่ยนผัดหมูผัดไก่เป็นผัดเห็ด เปลี่ยนก๋วยเตี๋ยวเส้นกับเนื้อสัตว์แบบเดิมให้เป็นก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หรือเปลี่ยนแกงที่กินประจำให้เป็นแกงเลียง แกงอ่อม เกาเหลาสารพัดผักก็ได้
ขอจูงใจเพิ่มเลยว่า ถ้าในแต่ละมื้อกินผักและผลไม้ให้มากพอและลดสัดส่วนอาหารอื่นๆ พวกแป้งหรือโปรตีนที่อาจจะมากไป จะช่วยเรื่องรูปร่าง การควบคุมน้ำหนักได้ด้วยนะ เพราะกินจนอิ่มจุกๆ แต่ได้พลังงานต่ำ มีกากใยสูงช่วยเรื่องขับถ่าย พอกินอิ่ม ถ่ายคล่องก็ไม่อ้วน แถมผักยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวพรรณดี กระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทาน ชะลอความแก่ ความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
ข้อ 3 ผักสมัยนี้ฉีดยาเยอะ กินไปก็มีแต่สารเคมี
“ผักปลอดภัยเลือกให้ดี ก็ไม่ต้องกลัวสารเคมี” หลายคนอาจจะกลัวสารเคมีตกค้างในผัก แต่เราสามารถหาผักมากินให้ปลอดภัยได้ แค่เราหาให้ถูกที่ถูกเวลา ถูกแหล่งที่มาเท่านั้นเอง เริ่มจากเลือกกินผักตามฤดูกาล เพื่อให้ได้ผักที่เติบโตตามธรรมชาติ ได้คุณภาพสดใหม่ ทั้งความต้านทานโรคก็สูง ทำให้เกษตรกรไม่ต้องพึ่งสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงในการปลูก ยิ่งถ้าเลือกเป็นผักพื้นบ้านที่ปลูกง่าย ทนทาน ราคาก็ถูก แถมได้คุณค่ามากมาก แล้วก็ล้างผักก่อนกินทุกครั้ง เท่านี้ก็ได้ผักที่ปลอดภัยได้ประโยชน์แล้ว หรืออีกทางเลือกง่ายๆ คือการปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง เพราะปลูกเอง กินเอง ปลอดภัยไร้สารแน่นอน
ข้อ 4 ไม่มีเวลาทำอาหารกินเอง ซื้อร้านสะดวกกว่า
คนส่วนใหญ่มักอ้างว่าไม่มีเวลาจึงต้องพึ่งพาอาหารจานด่วนนอกบ้าน แล้วจะเพิ่มผักได้อย่างไร ลองปรับพฤติกรรมการกินในแต่ละวันดู ถ้าอย่างมื้อเช้า เมนูรีบๆ ที่หาตามข้างทางกินเร็วๆ แล้วหาผักไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะเพิ่มเป็นผลไม้ แต่ถ้ากินเป็นร้านอาหารตามสั่ง หรือข้าวแกง เลือกสั่งเมนูผักนำเข้าไว้ อย่างผัดฟักทองกับไข่ ผัดบล็อกโคลี่กุ้งสด แกงส้มผักรวม ราดหน้ายอดผัก ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ส้มตำผลไม้ ยำมะม่วง ส่วนยามบ่ายก็แวะหาผลไม้ไว้กินแทนขนมหรือชานมไข่มุกตอนบ่าย ไม่ว่าจะเป็นมะละกอ ฝรั่ง ชมพู่ มะม่วง ก็เลือกได้ตามชอบใจ
ข้อ 5 ไม่รู้ว่าต้องกินแค่ไหนถึงเพียงพอ
ถ้าอยากกินผักผลไม้ให้เพียงพอ โดยได้ปริมาณ 400 กรัมต่อวันตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ไม่ใช่เรื่องยาก แค่คิดภาพอาหารที่ทานในแต่ละมื้อ เป็น 2:1:1 โดยคิดเป็น “ผักครึ่งจาน” ไว้ก่อน ส่วนอีกครึ่งจานจะเป็น “คาร์โบไฮเดรท” (ข้าว, เส้น) ซึ่งถ้าจะให้ดีก็ควรเป็นข้าวกล้อง หรือข้าวที่ไม่ขัดขาวทั้งหลายจะเป็นการเพิ่มใยอาหาร บวกกับ “โปรตีน” (หมู เนื้อ ไก่ ปลา ฯลฯ) อีกอย่างละครึ่งของครึ่งที่เหลือ เพียงเท่านี้ให้ได้ทุกมื้อ และเพิ่มเติมผลไม้ปิดท้าย หรือเป็นของว่างก็ได้ รวมแล้วรับรองว่าได้กินผักผลไม้มากพอหรือเทียบเท่า 400 กรัมเลย
เพียงเท่านี้ก็ไร้เหตุผลที่จะไม่ยอมกินผักอีกต่อไป ใช่ไหมล่ะ!!