svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

3 เรื่องเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อในโซเชียลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

10 กุมภาพันธ์ 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เช็กความจริงที่ถูกอ้างอิงว่า “กินแล้วดีต่อสุขภาพ” ของ 3 เรื่องเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อในโซเชียลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทั้ง “ดื่มโซดาช่วยย่อย” “กระชายน้ำผึ้งมะนาวช่วยลดน้ำหนัก” “น้ำอัดลมเติมเกลือแก้อาการขาดน้ำตอนท้องเสีย”

หลากหลายเรื่องราวที่ถูกส่งต่อในไลน์กรุ๊ปครอบครัว กลุ่มเพื่อนสมัยเรียน หรือข้อมูลที่มีการแชร์ต่อกันทั้งรูปแบบข้อความ ภาพนิ่ง ตลอดจนคลิปวิดีโอเกี่ยวกับ “การดูแลสุขภาพ” เป็นที่สนใจในคนส่วนใหญ่ที่ได้รับข่าวสารและพร้อมบอกต่อแสดงความหวังดีที่ได้รับมาให้กับคนรัก หลายครั้งที่เรื่องราวนั้นๆ เป็นจริง ทำแล้วได้ประโยชน์ แต่อีกหลายเรื่องก็บิดเบือน ไม่เป็นเรื่องจริง แต่สร้างขึ้นจากเรื่องราวใกล้ตัว สิ่งของใกล้ตัว และอิงกับเรื่องของสุขภาพที่นับว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว

ครั้งนี้ เนชั่นออนไลน์ได้รวม 3 เรื่องเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อในโซเชียลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทั้งเรื่องของ “ดื่มโซดาช่วยย่อย” “กระชายน้ำผึ้งมะนาวช่วยลดน้ำหนัก” “น้ำอัดลมเติมเกลือแก้อาการขาดน้ำตอนท้องเสีย” จะจริงแค่ไหน ควรแชร์ต่อหรือไม่ มาดูข้อมูลพร้อมกัน

เรื่องที่ 1 : ดื่มโซดาช่วยย่อยอาหารได้

3 เรื่องเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อในโซเชียลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

จากกรณีข้อความว่า ดื่มน้ำโซดาช่วยทำให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ พร้อมชี้แจงว่า “โซดา” คือน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร และยังไม่มีการศึกษาใดยืนยันได้ว่าการดื่มโซดาช่วยย่อยอาหารได้

ในโซดามีฤทธิ์เป็นกรดเล็กน้อย ไม่มีฤทธิ์ในการย่อยอาหาร นอกจากนี้ ความเป็นกรดของโซดาเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งเสริมให้เกิดกรดไหลย้อนและฟันผุ ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารควรหลีกเลี่ยงการดื่มโซดา จึงควรดื่มโซดาได้ในปริมาณพอเหมาะ ไม่ควรดื่มมากเกินไปเพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นได้ และเลือกดื่มโซดาที่ได้รับมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาการและยา (อย.) โดยสังเกตเครื่องหมาย อย.ก่อนซื้อทุกครั้ง

สำหรับอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ พบได้บ่อย เป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำเมนูอาหารพืชผักสมุนไพร ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหานี้ ได้แก่ การเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง กระชาย ตะไคร้ พริกไทย กะเพรา โหระพา ขมิ้น ข่า เนื่องจากสมุนไพรรสเผ็ดร้อน มีน้ำมันหอมเรื่องราวที่ระเหย ซึ่งช่วยในการขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อย กระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด

นอกจากนี้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายที่ดีต่อร่างกาย โดยตัวอย่างของอาหารที่ย่อยได้ง่าย ได้แก่ โปรตีนจากเนื้อปลาและไข่ ผักอย่างผักกาดขาว ผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง ส้มโอ ชมพู่ เลือกคาร์โบไฮเดรตย่อยง่าย จำพวกแป้งไม่ขัดสีอย่างข้าวกล้อง เสริมสารอาหารให้ร่างกายด้วยถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช ดังนั้น ก่อนจะเลือกรับประทานอาหาร ให้คำนึงถึงอาหารที่มีกากใย ไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น

 

เรื่องที่ 2 : ดื่มน้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว ช่วยลดน้ำหนัก

3 เรื่องเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อในโซเชียลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

เชื่อว่าใครๆ ก็อยากลดน้ำหนักละผอมลงอย่างรวดเร็วกันทั้งนั้น แต่การดื่มน้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว จะกลายเป็นทางลัดการผอมได้จริงหรือ เรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า การดื่มน้ำกระชาย น้ำผึ้ง มะนาว ไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากกระชายไม่มีสรรพคุณที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก และน้ำผึ้งมีน้ำตาลในปริมาณมาก หากจะรับประทานน้ำผึ้งเพื่อหวังผลลดน้ำหนักนั้นจึงไม่ควรทำ

สำหรับสรรพคุณของกระชายมีน้ำมันหอมระเหย และสารฟลาโวนอยด์เป็นส่วนประกอบ ทำให้กระชายมีสรรพคุณทางยาบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียดได้ ส่วนน้ำผึ้ง ประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุกโตส และน้ำตาลกลูโคส ส่วนที่เหลือจะเป็นน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์และกรดอีกเล็กน้อย

โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม ให้พลังงานถึง 303 กิโลแคลอรี หากจะรับประทานน้ำผึ้งเพื่อหวังผลลดน้ำหนักนั้นจึงไม่ควรทำ เพราะในน้ำผึ้งมีน้ำตาลในปริมาณมาก จากองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูง ที่สำคัญผู้ป่วยโรคเบาหวานควรบริโภคอย่างระมัดระวัง

สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ผล กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า การเลือกรับประทานอาหารคลีนก็เป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่แล้วลดการปรุงแต่ง ไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสมากจนเกินไป มาจากธรรมชาติ เน้นวัตถุดิบสดใหม่ ประกอบอาหารให้สุกอย่างพอดี สำหรับการเลือกกินคลีนอย่างเหมาะสม ควรจัดอาหารให้มีความสมดุล แบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญ กินอาหารเช้าทุกวัน หลังจากตื่นนอน 1 ชั่วโมง

ส่วนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ควรเลือกแบบไม่ติดมัน เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ ไข่ หรือพืชตระกูลถั่ว คาร์โบไฮเดรตต้องเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อย่างข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลวีท ไขมันให้เลือกอาหารที่มีไขมันดี  ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันสุขภาพชนิดอื่น บริโภคผักสด ผลไม้ เพราะมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ หลีกเลี่ยงอาหาร แปรรูป ไม่ควรกินน้ำตาลมากเกินไป เลี่ยงขนมปังขาว เส้นพาสต้า งดเครื่องดื่มที่มีรสหวานอย่างน้ำอัดลม ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อสามารถใช้แบบจำลองอาหารหรือที่รู้จักกันคือ สูตร 2:1:1 โดยแบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน สองส่วนแรกเป็นผักสด หรือผักสุกมากกว่า 2 ชนิดขึ้นไป อีกส่วนหนึ่งเป็นข้าว แป้ง ควรเลือกชนิดไม่ขัดสี ส่วนสุดท้ายเป็นประเภทโปรตีน เน้นปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นอกจากนี้ แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาดเพียงพอในแต่ละวันอย่างน้อย 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร การดื่มน้ำมากขึ้นยังช่วยในเรื่องการลดน้ำหนัก ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น เนื่องจากน้ำทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง ร่างกายจึงต้องเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วย และยังช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินด้วย

หลักการลดน้ำหนักที่ดี ควรลดไขมันที่เป็นส่วนเกินในร่างกาย ไม่ใช่ลดกล้ามเนื้อ จึงไม่ควรอดอาหาร ต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่ควบคุมปริมาณให้เหมาะสม ปรุงอาหารด้วยวิธี นึ่ง ยำ อบ ต้ม ตุ๋น ย่าง หากต้องการปรุงอาหารที่ใช้น้ำมัน ควรใช้น้ำมันพืช และคุมปริมาณน้ำมันไม่ให้เกิน 2 ช้อนชาต่อมื้อ ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และกินอาหารครบหมู่ หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 – 5 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและอัตราการเผาผลาญพลังงาน รวมทั้งการเพิ่มกิจกรรมทางกาย เคลื่อนไหวออกแรงในการทำกิจวัตรประจำวัน จะช่วยในการลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลงได้ 

 

เรื่องที่ 3 : ดื่มน้ำอัดลมใส่เกลือ แก้อาการขาดน้ำตอนท้องเสีย

3 เรื่องเข้าใจผิดที่ถูกส่งต่อในโซเชียลเกี่ยวกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

ประเด็นนี้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข  พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ และไม่แนะนำให้ดื่มน้ำอัดลมผสมเกลือเพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เนื่องจากในน้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าผงน้ำตาลเกลือแร่ มีการอัดแก๊ส อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาการท้องเสียแย่ลงได้ 

ทั้งนี้ แนะนำให้ดื่มน้ำละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ (Oral Rehydration Salt หรือ ORS) เมื่อเกิดอาการท้องเสีย ซึ่งจะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำจากการอาเจียน หรือท้องเสีย วิธีดื่มน้ำละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ ให้จิบอย่างช้า ๆ แทนน้ำ ควรดื่มให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง หากเกินกว่านั้น ไม่แนะนำให้นำมาดื่มต่อ สำหรับการดูแลร่างกายเมื่อเกิดอาการท้องเสีย แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่ไม่เผ็ด ไม่กินอาหารรสจัด หากอาการไม่ดีขึ้น ไม่อยากรับประทานอาหารหรือบประทานอาหารไม่ได้ เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง อุจจาระมีมูกเลือดปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติคล้ายกุ้งเน่า มีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ควรรีบไปพบแพทย์

สำหรับอาการท้องเสียนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยผศ.(พิเศษ) นพ.สยาม ศิรินธรปัญญา หัวหน้างานโรคทางเดินอาหาร กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี อธิบายว่า อาการท้องเสียมี 2 แบบ

1.อาการท้องเสียแบบเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ทำไว้นานแล้วจนเชื้อโรคสร้างสารพิษขึ้นมา อาหารเป็นพิษ หรืออาหารทะเลมีเชื้อโรค หรือแม้แต่การกินยาบางชนิดก็สามารถกระตุ้นทำให้เกิดการขับถ่ายมากขึ้นได้ พบได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ส่วนในเด็กมักจะเจ็บป่วยด้วยโรต้าไวรัสและโนโรไวรัส เพราะภูมิคุ้มกันของเด็กนั้นอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายกว่า และแม้ผู้ใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันไวรัสได้ดีกว่า ก็ยังสามารถพบได้ในผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เช่น ผู้ป่วยสูงอายุ และผู้ป่วยที่รับประทานยาเพื่อกดภูมิ

2.อาการท้องเสียแบบเรื้อรัง เช่น อาการลำไส้แปรปรวน มีการบีบรัดตัวลำไส้ผิดปกติทำให้ขับถ่าย อาจมีทั้งอาการท้องผูกและท้องเสียร่วมด้วย มักจะมีอาการท้องเสียเป็นระยะเวลานาน โดยแพทย์จะวินิจฉัยเมื่อคนไข้มีอาการท้องเสียนาน ๆ รวมถึงไม่มีสาเหตุอื่นสำคัญ ไม่มีการติดเชื้อ ไม่เกิดจากยา ไม่มีเนื้องอก ไม่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมนผิดปกติ 

เมื่อเกิดอาการท้องเสียแล้วขับถ่ายมากเกินไปอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายเพราะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ออกไปจำนวนมาก อีกทั้งผู้ที่มีอาการติดเชื้อในผู้ป่วยที่ร่างกายอ่อนแอ เป็นไข้ ขับถ่ายเป็นมูกเลือด จะปล่อยให้ขับถ่ายจนหมดไม่ได้ เพราะร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ โรคท้องเสียในปัจจุบัน หากไม่รุนแรงก็จะรักษาตามอาการ หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก ดื่มน้ำเกลือแร่เสริม อาจรับประทานยาเพื่อดูดซับสารพิษช่วยในรายที่มีข้อบ่งชี้ เช่น มีไข้ ขับถ่ายมีมูกเลือด ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย ส่วนยาหยุดถ่ายไม่แนะนำให้กิน ยกเว้นว่าถ่ายเยอะมาก คนไข้สูญเสียน้ำเยอะจนแพทย์แน่ใจว่า ไม่ได้ติดเชื้อที่ทำลายเนื้อเยื่อลำไส้รุนแรง อาการบ่งชี้เช่นนี้แพทย์อาจให้ยาฆ่าเชื้อเพื่อหยุดถ่ายได้

 

logoline