svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

เพราะเรื่องของ “หัวใจ” เป็นอะไรมากกว่าแค่ “ความรัก”

03 กุมภาพันธ์ 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เมื่อความรักคือยาวิเศษ เปิดนิยาม "กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก" พร้อมค้นหาว่าเรื่องของ (สุขภาพ) หัวใจ มีอะไรที่มากกว่าแค่ "ความรัก"

จากตำนานอันมืดมัว สู่นิยาม "กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก"

ช่วงนี้เริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขของการแสดงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข เป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็น "วันแห่งความรัก" หรือ Valentine's Day ซึ่งเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโน ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจากนี้ แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่งอิสตรีเพศและการแต่งงาน และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

ในรัชสมัยของจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้าย และทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วมในกองทัพ เนื่องจากไม่อยากจากคู่รักและครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโองการสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง

เพราะเรื่องของ “หัวใจ” เป็นอะไรมากกว่าแค่ “ความรัก”

และขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ร่วมมือกับเซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนาดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับ และระหว่างนั้นเขาก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เชื่อกันว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine"

หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัสผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพอันสวยงาม ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่าในช่วงยุคกลาง วาเลนไทน์นับเป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส โอยต่อมานักบวชในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลวันแห่งความรัก และดูเหมือนว่ายังคงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

เพราะเรื่องของ “หัวใจ” เป็นอะไรมากกว่าแค่ “ความรัก”

ความรักคือยาวิเศษ จริงหรือ?

คำกล่าวที่ว่า “ความรักคือยาวิเศษ” อาจฟังดูโรแมนติกเหมือนหลุดมาจากนิยาย แต่ทราบหรือไม่ว่า มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ชี้ชัดว่าการมีความรักและสัมพันธ์ที่ดี ไม่ว่าจะกับคนรัก เพื่อนฝูง คนรอบข้าง ครอบครัว หรือแม้กระทั่งความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง ล้วนช่วยให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้ โดยเฉพาะ  “สุขภาพใจ” ด้วยการลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและอัตราการเสียชีวิตเนื่องจากโรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดต่างๆ

แม้ว่าความจริงแล้วความรู้สึกทั้งหลายของเรา ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชม การตกหลุมรัก ความประทับใจแรกพบ จะเกิดขึ้นที่สมองทั้งสิ้น แต่ฮอร์โมนต่างๆ ที่สมองหลั่งออกมา เช่น อะดรีนาลีน และนอร์เอพิเนฟรีน เมื่อเรามีความสุข หรือออกซิโทซิน มื่อเราตกหลุมรัก ล้วนแต่มีฤทธิ์กระตุ้นเชิงชีววิทยาในตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น หลอดเลือดขยาย การสูบฉีดเลือดดี สุดท้ายแล้วการทำงานของหัวใจจึงดีขึ้นตามไปด้วย

การสัมผัสตัวเล็กๆ น้อยๆ การสบตา การพูดจาดีต่อกัน หรือแม้กระทั่งการคิดถึงคนที่รัก ส่งผลที่ดีต่อร่างกายทั้งสิ้น พึงรู้ว่าเมื่อหัวใจเต้นแรงก็จะทำให้หลอดเลือดต่างๆ ขยายตัวมากขึ้น จึงส่งผลดีโดยตรงกับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือกลุ่มที่มีเส้นเลือดตีบในร่างกาย

นอกจากผลทางชีววิทยาแล้ว ความรักยังส่งผลต่อพฤติกรรมด้วยเช่นกัน ผลการวิจัยของ ดร.จูเลียน โฮลท์-ลันสแตท นักจิตวิทยาและประสาทวิทยา จากมหาวิทยาลัยบริงแฮม ยัง สหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษากลุ่มตัวอย่างกว่า 300,000 คน และตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ PLOS Medicine พบว่าคนสนิทหรือคนรู้ใจของเราเป็นแรงผลักดันพฤติกรรมเชิงบวกที่ดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจยามเจ็บป่วย สนับสนุนให้ออกกำลังกาย หรือทานอาหารที่มีประโยชน์ จนสามารถพูดได้ว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้นเป็นปัจจัยสุขภาพเชิงบวกในระดับใกล้เคียงกับการเลิกสูบบุหรี่เลยทีเดียว

เพราะเรื่องของ “หัวใจ” เป็นอะไรมากกว่าแค่ “ความรัก”

คนมีความรัก มักอายุยืน

สถิติจากศูนย์ข้อมูลสาธารณสุขแห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่า ผู้ที่ยังอยู่ในสถานภาพแต่งงานมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่เคยแต่งงาน หย่าร้าง หรือเป็นม่ายอีกด้วย แต่ก็ต้องเน้นย้ำว่าในเรื่องของหัวใจและความสัมพันธ์นั้น “คุณภาพ” สำคัญกว่า “ปริมาณ” หรือ “สถานะ” เสมอ เช่น คู่รักที่ไม่ได้แต่งงานกันแต่รักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดีก็ย่อมมีสุขภาพดีกว่าคู่แต่งงานที่มีความรักลุ่มๆ ดอนๆ

การแสดงความรักกับสัตว์เลี้ยง

ใช่ว่าจะมีแค่ความรักที่ทำให้ใจเต้นตึกตักเท่านั้นที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกับคนในครอบครัว เพื่อนๆ  หรือกระทั่งสัตว์เลี้ยง ก็ “ดีต่อใจ” ได้ไม่แพ้กัน

เพราะเรื่องของ “หัวใจ” เป็นอะไรมากกว่าแค่ “ความรัก”

จากการศึกษาในสวีเดนในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดซึ่งต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล พบว่า ผู้ที่เลี้ยงสุนัขนั้นมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังออกจากโรงพยาบาลน้อยกว่าผู้ที่อยู่ตามลำพังถึง 67% แถมโอกาสที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลซ้ำด้วยโรคเดิมก็น้อยกว่าเช่นกัน ซึ่งก็อาจเป็นเพราะเพื่อนซี้สี่ขานี้เป็นแรงจูงใจที่ทำให้เจ้าของไปเดินออกกำลังกายและสานสัมพันธ์กับผู้คนภายนอกก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดใดก็ล้วนช่วยให้ผู้เลี้ยงสบายใจเสมอ สร้างรอยยิ้มและปลอบประโลมจิตใจในคราวเดียวกัน ดังนั้นบรรดานายทาสของน้องเหมียวก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป

การมีความรักที่ดี เหมือนการลงทุนที่คุ้มค่า

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเสียแต่เนิ่นๆ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยงานวิจัยของดร.โรเบิร์ต เวลดิงเออร์ ผู้อำนวยการศึกษาวิจัยการพัฒนาของมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Harvard Study of Adult Development) ซึ่งเป็นโครงการที่มีระยะเวลาการศึกษายาวนานที่สุดในโลก เริ่มตั้งแต่ปีค.ศ.1938 ทำการติดตามชีวิตของกลุ่มตัวอย่างที่ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 75 ปี จนพบว่าท่ามกลางปัจจัยอื่นๆ ในชีวิตอีกมากมายนั้น ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างในช่วงวัยกลางคนนั้นเป็นปัจจัยที่พยากรณ์ความสุขและสุขภาพที่ดีในบั้นปลายชีวิตได้ดีกว่าระดับคอเลสเตอรอลเสียอีก

ดังนั้น ในเดือนแห่งความรักนี้ จึงอยากให้ทุกคนบำรุงหัวใจตัวเองให้แข็งแรง แต่ไม่ใช่ด้วยแค่การออกกำลัง รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ หรือตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสานสัมพันธ์ดีๆ กับคน (หรือสัตว์เลี้ยง) ใกล้ตัวให้แน่นแฟ้นกว่าเดิมอีกด้วย


 

 

logoline