ภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดขึ้นใน "ผู้ป่วยมะเร็ง" ซึ่งอยู่ในระหว่างการรักษา โดยเฉพาะในขั้นตอนการได้รับยาเคมีบำบัด การได้รับรังสีรักษา (การฉายแสง) คือการทำให้เกิด "ภาวะเม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือดต่ำ" ซึ่งในบางกรณีแพทย์อาจต้องพิจารณาหยุดการรักษาชั่วคราวเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกช้อนที่เป็นอันตรายอื่นๆ ตามมา ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับกรรักษาอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลงได้
ไขข้อข้องใจอาหารเพิ่มเม็ดเลือด เพิ่มเกล็ดเลือดในผู้ป่วยมะเร็ง มีจริงหรือ?
ข้อมูลจากนักกำหนดอาหาร แผนกโภชนาการ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาในมนุษย์ที่ยืนยันได้ว่าอาหารหรือสารอาหารใด สามารถเพิ่มระดับเม็ดเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดในผู้ป่วยมะเร็งได้เป็นพิเศษ แต่เราสามารถจัดการให้ดีขึ้นได้ด้วยการให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานที่ดี โปรตีน และสารอาหารที่เพียงพอด้วยหลักการอาหารแบบสมดุล หรือ Balanced diet ซึ่งหมายถึงการรับประทานอาหารที่หลากหลายในสัดส่วนที่เหมาะสม เท่านี้ก็จะทำให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานและสารอาหารเพียงพอต่อการสร้างเม็ดเลือด
ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารได้เพียงพอ นักกำหนดอาหารแนะนำให้ดื่มอาหารทางการแพทย์เสริมเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับพลังงาน โปรตีน รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ให้เพียงพอต่อความต้องการ ภายใต้ตามคำแนะนำของนักกำหนดอาหารในโรงพยาบาลที่รับการรักษา หรือเสริมวิตามินและเกลือแร่รวมภายใต้การดูแลของแพทย์
มีการศึกษาหลายการศึกษา พบว่านอกจากการขาดโปรตีนและพลังงานจะมีผลให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดได้ลดลงแล้ว การขาดสารอาหารบางตัวก็ส่งผลให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดต่ำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเม็ดเลือดแดงต่ำที่เกิดได้จากการขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 โฟเลต วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินชี วิตามินดี วิตามินอี ทองแดง และสังกะสี นอกจากนี้ ยังพบว่าการขาดโฟเลต และวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ และภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้จากการสร้างที่ลดลง ทั้งนี้ European Society for Clinical Nutrition and Metabolism (ESPEN) ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า "ผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณเท่ากับปริมาณสารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวัน และไม่แนะนำให้เสริมวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณสูง หากไม่มีข้อบ่งชี้ว่าร่างกายขาดสารอาหารนั้นๆ"
ระหว่างการรักษามะเร็งควรรับประทานอาหารอย่างไร?
โปรตีน (Protein)
ร่างกายของเราต้องการโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโต เสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อให้อยู่ในสภาพปกติ เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ หากร่างกายของเราได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ อาจทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากโรคได้ช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
แหล่งอาหารของโปรตีนพบได้ทั้งจากสัตว์และพืช โดยโปรตีนจากสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดี มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ในขณะที่โปรตีนจากพืชเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำกว่า เนื่องจากมีปริมาณกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบถ้วนหรือมีสัดส่วนของกรดอะมินไม่เหมาะสม ดังนั้น เราควรได้รับโปรตีนจากสัตว์และพืชในสัดส่วนเท่าๆ กัน เพื่อให้ได้รับโปรตีนคุณภาพดี มีกรดอะมิโนครบถ้วน
แหล่งที่ดีของโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไขไก่ นม และผลิตภัณฑ์จากนมชนิดไขมันต่ำ ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เป็นต้น
ตัวอย่างแหล่งอาหารของโปรตีน (โปรตีนเทียบเท่ากับไข่ไก่ 1 ฟอง หรือประมาณ 7 กรัม)
โปรตีนจากสัตว์ (โปรตีนเฉลี่ย 7 กรัม ต่อ น้ำหนักสุก 30 กรัม)
โปรตีนจากพืช (โปรตีนเฉลี่ย 1 - 3 กรัม ต่อ น้ำหนัก 100 กรัม)
ทั้งนี้ น้ำหนักอาหารที่แสดงนี้เป็นค่าเฉลี่ยจากหลายผลิตภัณฑ์ ดังนั้น แนะนำให้อ่านข้อมูลจากฉลากโภชนาการของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น
จากคำแนะนำของ ESPEN guidelines on nutrition in cancer patients ปี 2017 ได้แนะนำไว้ว่า "ผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับโปรตีนปริมาณ 1-1.5 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งความต้องการนี้อาจมากขึ้นในผู้ปวยมะเร็งที่ได้รับการผ่าตัด ได้รับยาเคมีบำบัด หรือรังสีรักษา เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ (ทั้งนี้ ขึ้นกับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล แนะนำให้ปรึกษานักกำหนดอาหารหรือแพทย์ที่ท่านรักษาอยู่)"
ธาตุเหล็ก (Iron)
ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนฮีโมโกลบินที่เกาะอยู่บนเม็ดเลือดแดง การขาดธาตุเหล็กเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการเกิดภาวะโลหิตจางในผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งมักรับประทานอาหารได้น้อยและได้รับธาตุเหล็กจากอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายสร้างฮีโมโกลบินได้ไม่พอ ส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลงหรือเกิดลักษณะผิดปกติ
ธาตุเหล็กพบได้ทั้งจากแหล่งอาหารที่มาจากสัตว์และแหล่งอาหารที่มาจากพืช โดยธาตุเหล็กที่พบในอาหารจะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่
1. ธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปฮีม ร่างกายจะดูดซึมได้ดี 20-30% แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ เลือด เนื้อสัตว์ ตับ เครื่องในสัตว์ ไก่ ปลา และอาหารทะเล
2. ธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปไม่ใช่ฮีม ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้น้อย เพียง 3-5% และการดูดซึมขึ้นกับปัจจัยส่งเสริมหรือขัดขวางการดูดซึมที่ในอาหารด้วยกัน แหล่งอาหารพบได้ในอาหารที่มาจากพืชทั้งหมด เช่น ธัญชาติ ข้าว ผักสีเขียวเข้มบางชนิด เช่น ผักโขม ถั่วเมล็ดแห้ง รวมถึง ไข่แดง และนม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารจากสัตว์ที่มีธาตุเหล็กในรูปที่ไม่ใช่ฮีม
สารที่ช่วยส่งเสริมการดูดซึมธาตุเหล็กในรูปที่ไม่ใช่ฮีม ได้แก่ วิตามินชี วิตามินเอ กรดผลไม้ และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ดังนั้น จึงควรรับประทานเนื้อสัตว์ให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-12 ช้อนกินข้าว เนื่องจากเนื้อสัตว์ต่างๆ นอกจากจะมีธาตุเหล็กสูงแล้ว ยังช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในรูปที่ไม่ฮีมให้ดีขึ้นด้วย
ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเอร่วมกับอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เนื่องจากจะช่วยทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กในรูปที่ไม่ใช่ฮีมได้ดีขึ้น เช่น ผลไม้รสเปรี้ยวที่อุดมไปด้วยวิตามินชี ตับ ไข่ ฟักทอง แครอท มะละกอสุก และมะม่วงสุก ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ
ควรรับประทานผักและผลไม้วันละ 3-5 จานรองแก้วกาแฟ และแนะนำเป็นผัก ผลไม้สดที่ไม่ผ่านความร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำลายวิตามินชีได้ และควรล้างทำความสะอาดผักและเปลือกผลไม้ด้วยน้ำไหลผ่านและปอกเปลือกทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ง่ายในผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษา
หมายเหตุ ผู้ป่วยที่ร่างกายมีภาวะเหล็กเกินควรระมัดระวังการรับประทานอาหารตามคำแนะนำข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ที่ท่านทำการรักษาอยู่
สารที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กในรูปที่ไม่ใช่ฮีม ได้แก่
1. กากใยอาหารและไฟเตท พบมากในข้าวที่ไม่ขัดสี ข้าวโพด ข้าวาง ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง หรือผักสีเขียวเข้ม เช่น ใบกระถิน ขี้เหล็ก ใบเมี่ยง เป็นต้น
2. แคลเซียม พบมากในนมและผลิตภัณฑ์จากนม จะยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงไม่ควรดื่มนมพร้อมมื้ออาหารหรือพร้อมยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก
3. สารโพลีฟีนอล เช่น สารแทนนิน พบได้ในน้ำชา กาแฟ ทำให้ลดการดูดซึมธาตุเหล็กในอาหาร จึงไม่ควรดื่มน้ำชา กาแฟ พร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหาร
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้รับประทานอาหารแบบรววกันให้หลากหลายมากกว่าการรับประทานอาหารแค่ชนิดใดชนิดหนึ่ง เนื่องจากพบว่าเมื่อเรารับประทานอาหารแบบรวมกันให้หลากหลายแล้ว ผลการรบกวนของสารอาหารอื่นๆ ต่อการดูดซึมธาตุเหล็กจะมีน้อยกว่าการเลือกรับประทานอาหารแบบเดียว
วิตามินบี 12 (B12)
พบได้ทั้งในเนื้อสัตว์ นม ผลิตภัณฑ์จากนม และไข่ อีกทั้งร่างกายสามารถสะสมวิตามินบี 12 ได้ (เพียงพอสำหรับประมาณ 2-4 ปี) และขับออกจากร่างกายในปริมาณน้อย ในภาวะปกติ เราจึงพบการขาดวิตามินบี 12 ได้น้อย แต่จะมีบางกรณีที่ทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี 12 ได้ ดังนี้
1. เกิดจากร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินบี 12 ได้ตามปกติ หรือได้รับยาบางชนิดทำให้ดูดซึมวิตามินบี 12 ได้ลดลง
2. อาจจะพบได้ในผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด คือไม่รับประทานไข่หรือไม่ดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมเลยเป็นเวลานาน
3. ผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารได้น้อย
4. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็จะเพิ่มการขับวิตามินบี 12 ออกจากร่างกายด้วย
โฟเลต (Folate)
สาเหตุการขาดโฟเลต อาจเกิดได้จากการได้รับโฟเลตจากอาหารไม่เพียงพอ มีภาวะทุพโภชนาการ ผู้สูงอายุ ร่างกายดูดซึมได้ลดลง หรือยาเคมีบำบัดบางชนิด ปกติร่างกายจะเก็บสะสมโฟเลตไว้ที่ตับไว้ใช้ได้เพียงพอประมาณ 3-4 เดือน
แหล่งอาหารของโฟเลต ได้แก่ ผักใบเขียว ผลไม้ เนื้อสัตว์ ตับ
ข้อควรระวัง : โฟเลตในอาหารจะไวต่อแสงและความร้อน ดังนั้น บางส่วนอาจถูกทำลายไปในสิ่งแวดล้อมและการปรุงอาหารได้ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการหุงต้มนานๆ การอุ่นอาหารซ้ำ เพราะจะทำให้สูญเสียโฟเลตในอาหารได้
Tips การรับประทานอาหารในผู้ป่วยรักษาโรคมะเร็ง
1. นอกจากอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ ควรรับประทานมื้อว่างระหว่างวันหรือแบ่งอาหารมื้อหลักออกเป็นมื้อเล็ก 5-6 มื้อเล็กๆ ต่อวัน
2. ไม่ดื่มน้ำพร้อมอาหารมากเกินไป เพราะอาจทำให้อิ่มและรับประทานอาหารได้น้อย แนะนำให้จิบน้ำระหว่างวันหรือดื่มก่อนหรือหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 30 นาที
3. เลือกรับประทานอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนสูงทั้งอาหารมื้อหลักและอาหารว่าง เช่น โยเกิร์ต ซีเรียลกับนม แซนวิช ซุปข้น ถั่วเปลือกแข็ง สมูทตี้นมปั่น ชีส แครกเกอร์ อะโวคาโด หรือหากรับประทานอาหารไม่ได้หรือรับประทานได้น้อย แนะนำให้ดื่มอาหารทางการแพทย์เสริมหรือแทนมื้ออาหาร (ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือนักกำหนดอาหาร ณ โรงพยาบาลที่ท่านทำการรักษาอยู่)
4. รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้นในทุกๆ วัน เพื่อให้ได้รับวิตามิน เกลือแร่ และสารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
5. ลองรับประทานอาหารใหม่ๆ ที่สุก สะอาด และปลอดภัย เพราะในระหว่างการรักษาคุณอาจรู้สึกชอบอาหารบางอย่างที่คุณไม่เคยชอบมาก่อน
6. หากมีอาการคลื่นไส้ แนะนำให้รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ซุป โยเกิร์ต และอาจลองรับประทานอาหารที่มีกลิ่นรสเปรี้ยว เช่น มะนาว เพื่อช่วยลดอาการคลื่นไส้ รับ ประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่อดอาหารแม้ไม่รู้สึกหิว เนื่องจากหากปล่อยให้ท้องว่างอาจทำให้รู้สึกคลื่นไส้มากขึ้นได้
7. หากมีอาการอาเจียน แนะนำค่อยๆ เริ่มจิบอาหารเหลวใส เช่น ซุปใส น้ำผลไม้ (อาจเติมผงเวย์โปรตีนเพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีนหากรับได้) หรืออาหารทางการแพทย์หากรับได้ เมื่ออาการอาเจียนดีขึ้น ค่อยๆ ลองรับประทานอาหารที่เหลวข้นขึ้นหรือเครื่องดื่มที่ย่อยง่าย เช่น ซุปข้น โยเกิร์ต นม หรืออาหารทางการแพทย์ และเมื่อเริ่มรับประทานอาหารปกติได้ แนะนำให้แบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อเล็กๆ ต่อวัน
8. หากมีอาการเจ็บปาก เจ็บคอ ปากแห้ง เคี้ยวหรือกลืนลำบาก แนะนำรับประทานอาหารที่อ่อนนุ่ม ชิ้นเล็ก เคี้ยวและกลืนได้ง่าย อาหารเย็นๆ และอาจใช้ช้อนขนาดเล็กในการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำด้วยหลอด เพื่อลดอาการเจ็บปาก รับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มได้ง่ายขึ้น
9. ออกกำลังกายเล็กน้อยหรือเดินเล็กน้อยก่อนมื้ออาหาร เพื่อช่วยเพิ่มความอยากอาหาร
10. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและมีกิจกรรมทางกายอยู่เสมอ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
สุดท้ายนี้ ปริมาณเม็ดเลือดของผู้ป่วยอาจไม่ได้แปรผันตรงกับพลังงานและสารอาหารที่ผู้ป่วยได้รับเสมอไป เนื่องจากมีปัจจัยอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับเม็ดเลือด เช่น ผลข้างเคียงของการรักษา สภาวะร่างกาย หรือชนิดและความรุนแรงของโรค ซึ่งก็แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย การสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารที่มีพลังงาน โปรตีนและสารอาหารที่เพียงพอ จะช่วยให้ผู้ป่วยมีภาวะโภชนาการที่ดี แข็งแรง ฟื้นฟูร่างกายได้เร็ว ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกช้อนอื่นๆ และสามารถรับการรักษาได้อย่างต่อเนื่องจนครบแผนการรักษา และที่สำคัญคือเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เมื่อกายดี ใจก็ดี เมื่อใจดี กายก็ดีตามไปด้วย
source : siphhospital