เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้ ช่วงที่มีประจำเดือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไมเกรนเป็น 2 เท่า
อาการปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงจะพบความชุกของโรคปวดศีรษะไมเกรน (Migraine Headaches) มากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า ในช่วงวัยเด็ก ผู้หญิงกับผู้ชายจะมีความชุกของอาการปวดศีรษะใกล้เคียงกัน แต่หลังจากเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ระบบฮอร์โมนของร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไป ผู้หญิงจะมีการผลิตฮอร์โมน เอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนนี้จึงมีระดับคงที่
ทำไมผู้หญิงจึงเป็นไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน
ในช่วงก่อนมีประจำเดือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ ก่อนมีประจำเดือน 1 – 3 วัน ระดับเอสโตรเจนจะลดลงอย่างรวดเร็ว (estrogen withdrawal) ในผู้ที่สมองมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ (จากพันธุกรรม) หรือผู้ที่เป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนอยู่แล้วจะเกิดการกระตุ้น ทำให้ปวดศีรษะไมเกรนได้
ในช่วงก่อนหมดประจำเดือน (premenopausal) เป็นอีกช่วงอายุที่สามารถพบอาการปวดศีรษะไมเกรนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศได้มาก ระดับฮอร์โมนไม่คงที่ รวมทั้งอาจมีปัญหาเรื่องร้อนวูบวาบในเวลากลางคืน ทำให้การนอนหลับไม่ดี เกิดการกระตุ้นให้ปวดศีรษะไมเกรนได้ง่าย
อาการปวดศีรษะไมเกรนช่วงมีประจำเดือน
อาการปวดศีรษะมักจะเกิดก่อนที่จะมีประจำเดือน 2 วัน จนถึงขณะที่มีประจำเดือนวันที่ 3 อาการปวดศีรษะมักจะเกิดรุนแรงมากกว่าและเป็นนานกว่าไมเกรนปกติ โดยพบอาการอื่นร่วมกับอาการปวดศีรษะ เช่น
สิ่งที่ต้องระวัง คือ "ยาคุมกำเนิด" หรือ "ยาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน" ที่จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่เป็นไมเกรนชนิดมีอาการเตือน (Migraine with aura) เนื่องจากยาคุมกำเนิดสามารถเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดสมองตีบในผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดดำอุดตันอีกด้วย ดังนั้นในผู้ป่วยไมเกรนชนิดมีอาการเตือนหรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางโรคหลอดเลือดควรต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมและวิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงจากแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนพิจารณาใช้ยาคุมกำเนิด
ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดไมเกรน
ปัจจัยภายในตัวของผู้ป่วยเอง (Intrinsic precipitating factors) ได้แก่
ปัจจัยภายนอก (Extrinsic precipitating factors) ได้แก่
ปวดหัวแบบไหนที่ควรพบแพทย์
การรักษาไมเกรน
การรักษาไมเกรนแบ่งออกเป็นการรักษาแบบฉับพลัน และการป้องกัน
การรักษาแบบฉับพลัน
แนวทางการป้องกัน
แม้ไมเกรนจะเป็นภาวะการปวดศีรษะเรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงภาวะที่เป็นตัวกระตุ้น การปวดศีรษะดังที่กล่าวมา รวมถึงการป้องกัน เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามลดความเครียด
เมื่อเริ่มมีอาการของไมเกรนควรอยู่ในห้องที่เงียบและมืด หลับตาและพักผ่อนหรือนอนหลับ ร่วมกับการประคบเย็นบริเวณต้นคอ พร้อมกับนวดบริเวณที่ปวดก็จะช่วยบรรเทาอาการได้
ทั้งนี้ หากมีอาการปวดศีรษะรุนแรง รวมถึงมีอาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้อาเจียน มองเห็นภาพซ้อน พูดลำบาก ร่างกายอ่อนแรงครึ่งซีก ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง