ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมานาน หากควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี จะส่งผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังตามมา ไม่ว่าจะเป็น เบาหวานขึ้นตา เบาหวานลงไต ความดันโลหิตสูง และอีกหนึ่งภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยมาก ๆ นั่นก็คือ “เบาหวานลงเท้า”
จากบทความดูแลเท้าให้ดี ประหนึ่งดูแลใบหน้า ช่วยลดความเสี่ยงจากเบาหวานลงเท้า โดย นพ.เอกสิทธิ์ วาณิชเจริญกุล และ พญ.อารีสา มโนชญ์ปิติพงศ์ โรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายว่า "อาการเบาหวานลงเท้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดแผลเรื้อรังตามมา และอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น จนนำไปสู่การรักษาด้วยการตัดเท้าหรือตัดขาในที่สุด ดังนั้น หากเป็นโรคเบาหวานแล้ว เท้าจึงถือเป็นอีกหนึ่งอวัยวะสําคัญที่ต้องดูใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นแผลได้ง่ายและรักษายาก อีกทั้งผู้ป่วยเบาหวานต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับการควบคุมระดับน้ำตาล รวมถึงหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนเรื้อรัง"
เบาหวานลงเท้า คืออะไร
เบาหวานลงเท้า คือลักษณะอาการที่ปรากฏขึ้นที่เท้าหรือบริเวณขา เกิดจากภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่มาจากโรคเบาหวาน ได้แก่ เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมและภาวะหลอดเลือดตีบ ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความรู้สึกที่บริเวณเท้าและยังเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าได้ง่าย หากมีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการตัดเท้าหรือตัดขาในที่สุด
สาเหตุของเบาหวานลงเท้ามีอะไรบ้าง?
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น ภาวะแทรกซ้อนฉับพลัน และภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง
(1) ภาวะแทรกซ้อนฉับพลัน มักเป็นการติดเชื้อรุนแรง ภาวะช็อคเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงเกินไป หรือบางรายอาจมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis หรือ DKA)
(2) ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานาน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้ว มักจะมาจากการที่หลอดเลือดแดงและระบบประสาทเสื่อมสภาพลง ได้แก่
หลอดเลือดแดงตีบหรือเสื่อม: เมื่อระดับน้ำตาลสูงเกินค่าปกติเป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลให้เส้นเลือดแดงเกิดภาวะอักเสบ ตามมาด้วยอาการเปราะ ตีบ หรือฉีกขาดง่าย เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกายได้ไม่เต็มที่ อวัยวะส่วนที่อยู่ไกลอย่างเช่น “เท้า” จึงเสี่ยงต่ออาการเนื้อเยื่อตายเพราะขาดเลือด นอกจากนี้ กลไกการต่อสู้กับเชื้อโรคบริเวณนั้นก็ทำได้แย่ลงด้วย ดังนั้น หากเกิดแผลขึ้นมา ก็มักจะหายช้ามาก แถมยังง่ายต่อการติดเชื้อจนทำให้มีอาการอักเสบรุนแรงขึ้นได้
เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม: เมื่อระบบประสาทส่วนปลายเริ่มเสื่อมสภาพลง ผู้ป่วยจะสูญเสียความรู้สึกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณปลายมือและปลายเท้า เกิดเป็นอาการเท้าชา ส่งผลให้เวลาที่เท้าสัมผัสถูกของมีคมหรือของร้อนจัด ผู้ป่วยจึงมักไม่ค่อยรู้ตัว ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดแผลขึ้นที่เท้าได้ง่าย ๆ
นอกจากนี้ ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ยังส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อบริเวณเท้าฝ่อลง เมื่อกล้ามเนื้อที่ประคับประคองเท้าไม่แข็งแรงเท่าเดิมแล้ว เท้าจึงอาจบิดผิดรูป ส่งผลให้ผู้ป่วยยืนหรือเดินแล้วลงน้ำหนักเท้าในบางตำแหน่งไม่เหมาะสม จนเกิดการกดทับเป็นแผลที่เท้าขึ้นมาได้
ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม: ระบบประสาทอัตโนมัติ มีส่วนในการควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ หากเกิดการเสื่อมสภาพไป การปรับความสมดุลความชุ่มชื้นของผิวหนังก็จะเสียไปด้วย ส่งผลให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น โดยเฉพาะบริเวณเท้าทั้งสองข้าง ซึ่งก็จะแห้งแล้วปริแตกได้ง่าย ทำให้เกิดปัญหาแผลเรื้อรังตามมาได้นั่นเอง
แน่นอนว่าโรคเบาหวานเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการเบาหวานลงเท้า อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้เกิดได้อีก เช่น อายุมาก การสูบบุหรี่ เล็บที่ผิดปกติ และรองเท้าที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ ในทางกลับกัน การปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสม ก็อาจมีผลกระตุ้นให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายขึ้นหรือรุนแรงยิ่งขึ้นได้เช่นกัน
วิธีสังเกตอาการ เบาหวานลงเท้า
หากเป็นโรคเบาหวานอยู่ แล้วพบว่าตนเองมีอาการดังที่กล่าวมานี้ ควรรีบไปพบแพทย์
อาการเท้าบวม เกี่ยวข้องกับเบาหวานลงเท้าหรือไม่?
เวลาเราได้ยินว่าใครมีอาการเท้าบวม เราก็มักจะนึกถึงอาการของคนที่เป็นโรคไตเป็นอันดับแรก ซึ่งที่จริงแล้ว อาการเท้าบวมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แม้แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเอง ก็มีโอกาสที่จะแสดงอาการเท้าบวมได้เช่นเดียวกัน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการเท้าบวม มีสาเหตุมาจากการคั่งของของเหลวที่บริเวณเท้า เป็นผลมาจากระบบการไหลเวียนของโลหิตที่ไม่ดี นอกจากนี้ การกินอาหารเค็มมาก ๆ ก็มีส่วนในการทำให้อาการยิ่งแย่ลง แต่ละคนอาจมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันออกไป
การรักษาอาการให้ทุเลาลง ได้แก่ การใช้ถุงเท้ารัดกล้ามเนื้อ ที่ช่วยปรับความดันที่ขาและเท้าให้มีปริมาณที่เหมาะสม ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น แต่ต้องพยายามไม่ใช้ถุงเท้าที่บีบรัดมากจนเกินไป นอกจากนี้ การพยายามยกขาให้สูงขึ้น จะช่วยลดของเหลวสะสมที่บริเวณเท้าได้อีกด้วย และควรลดความเสี่ยงจากปัจจัยอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากโรคเบาหวาน เช่น การลดพฤติกรรมการกินเค็ม การลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน การกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น โดยมีข้อแนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ ไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมาก เช่น การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการบวมที่เท้า บางรายอาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง
อะไรคืออาการ เท้าดำ ที่คนมักพูดกัน?
คนที่มีอาการเบาหวานลงเท้านั้น มักจะมีอาการที่สังเกตได้หลายอย่างนำมาก่อน เช่น อาการชา อาการปวดแสบปวดร้อนที่เท้า อาการจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่ใช่ว่าจู่ ๆ เนื้อเยื่อจะตายอย่างเฉียบพลันแล้วจะต้องมีอาการเท้าดำ
สำหรับการตรวจวินิจฉัยอาการเบาหวานลงเท้า แพทย์จะใช้การตรวจสอบหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการสังเกตสีผิวและตรวจวัดอุณหภูมิของเท้า
โดยทั่วไป คนที่มีภาวะเบาหวานลงเท้าแล้วมีอาการอักเสบรุนแรง บริเวณเท้ามักจะมีสีผิวออกแดงและบวม ซึ่งแสดงถึงภาวะการอักเสบ
แต่หากพบว่าเท้ามีสีผิวที่เข้มขึ้นและเป็นมัน วัดอุณหภูมิได้ต่ำกว่าปกติ และคลำชีพจรได้เบา ก็มีโอกาสสูงว่าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนเท้าอาจเกิดการตีบตัน ซึ่งหากปล่อยไว้ เนื้อเยื่อบริเวณนั้นอาจตายได้ จุดไหนที่เนื้อเยื่อตาย บริเวณนั้นผิวก็จะดำและแห้งนั่นเอง
ลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน ป้องกัน เบาหวานลงเท้า ตั้งแต่ต้นเหตุ
อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า เบาหวานลงเท้ามีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง การรักษาโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก็มักได้ผลการรักษาที่ไม่ดีนัก
จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ยังไม่เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น หรือเริ่มมีโรคแทรกซ้อนขึ้นแล้วก็ตาม ให้พยายามควบคุมระดับความดันโลหิต รวมถึงระดับนํ้าตาลและระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตามคำสั่งของแพทย์โดยเคร่งครัด รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การสูบบุหรี่ ควรเลิกอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ มักให้ผลการรักษาที่ดีกว่า จึงควรเข้าพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามวันเวลาที่นัดไว้ เพื่อตรวจความเป็นไปของโรคและประเมินโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด สำหรับผู้ที่เริ่มมีโรคแทรกซ้อนแล้ว ขอให้ทำการรักษาต่อไปตามคำสั่งแพทย์ โดยปฏิบัติร่วมกันกับข้อแนะนำเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดแผลและการติดเชื้อที่เท้า ดังนี้
ขั้นตอนการดูแลเท้าในเบื้องต้น ป้องกันปัญหาจากเบาหวานลงเท้า
ผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องดูแลการตัดเล็บเป็นพิเศษ
สำหรับคนทั่วไป การตัดเล็บอาจเป็นแค่ขั้นตอน ๆ หนึ่งในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและเสี่ยงต่ออาการเบาหวานลงเท้านั้น การตัดเล็บเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องให้ความสนใจดูแลเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันโอกาสเป็นแผลและติดเชื้อ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ หลังจากอาบน้ำ เราควรเลือกเวลาตัดเล็บหลังจากอาบน้ำเสร็จ เนื่องจากเล็บจะนิ่มและทำให้ตัดง่าย เพราะหากตัดเล็บช่วงเวลาปกติ เล็บจะแข็งแล้วต้องออกแรงมากขึ้น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
วิธีการตัดเล็บที่ดี คือ ควรตัดตามแนวขอบเล็บเท่านั้น ให้เป็นเส้นตรงเสมอปลายกับนิ้วเท้า ไม่ควรตัดเล็บจนลึกมากหรือตัดจนโค้งเข้าจมูกเล็บ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นเล็บขบได้
ห้ามใช้อุปกรณ์แหย่ตามซอกเล็บเด็ดขาด เนื่องจากหลายคนอาจเคยชินกับการทำความสะอาดซอกเล็บโดยใช้เครื่องมือแหลม ๆ แหย่หรือแคะเข้าตามซอกเล็บหรือจมูกเล็บ ซึ่งเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจากอาจจะเกิดการระคายเคืองหรือเกิดแผลติดเชื้อได้
การเลือกรองเท้า สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
การเลือกสวมรองเท้าที่ถูกสุขลักษณะ จะช่วยป้องกันและลดโอกาสเกิดแผลบริเวณเท้าได้ มีหลักในการเลือกรองเท้าดังนี้
จะเห็นได้ว่าการดูแลเท้ามีขั้นตอนและความสำคัญ ไม่แตกต่างจากการดูแลภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือเบาหวานลงไต ทั้งนี้ก็เพื่อลดโอกาสเกิดแผล ซึ่งจะตามมาด้วยเรื่องยุ่งยากจากอาการเบาหวานลงเท้าได้อีกมากมาย
สุดท้ายหมอขอฝากวลีที่หมอเคยได้ยินและชื่นชอบเป็นพิเศษที่ว่า "ดูแลเท้าให้ดี เสมือนหนึ่งดูแลใบหน้า และเข้ารับการตรวจเท้าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง"
ดังนั้น การเริ่มฝึกปฏิบัติ ดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีที่ทำให้มีร่างกายที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดี