
เป็นอีกเรื่องจริงที่ยังไม่แพร่หลายนักในทางการแพทย์ เกี่ยวกับโรคหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินหรือไม่เคยรู้จักมาก่อน กับโรคที่มีชื่อว่า “โรคคิดไปเองว่าป่วย” หรือ “Hypochondriasis” อาการที่ผู้ป่วยจะมีความเชื่อว่าตนเองป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่ง และถึงแม้จะหาหมอเป็นสิบๆ ครั้ง และหมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรก็จะไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อยเลย
ข้อมูลจาก รศ.นพ.ศิริไชย หงษ์สงวนศรี ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรค Hypochondriasis คือเมื่อมีอาการทางกายบางอย่างจะพาลคิดไปว่าตัวเองป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่ง และจะชอบหาหมอหลายครั้ง เพราะจากการหาครั้งแรกแล้วหมอวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นอะไรก็จะไม่ยอมเชื่อ ทำให้ต้องหาหมอซ้ำอีก เมื่อผลวินิจฉัยออกมาเหมือนเดิม ก็จะไม่ยอมเชื่ออยู่อย่างนั้น ทำให้ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เพราะคนกลุ่มนี้จะเชื่อว่าตัวเองป่วยจริง ๆ
โดยอาการดังกล่าวเกิดขึ้นจาก “ความวิตกกังวล” ของคนไข้เอง เนื่องจากอาการทางกายบางอย่างหรือหลายอย่างทำให้คนไข้เกิดความวิตกกังวลไปต่าง ๆ นานา ที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือต่อชีวิต ยกตัวอย่างเช่น อาการปวดท้อง อาจเป็นอาการท้องอืด ท้องเฟ้อธรรมดา แต่ในคนที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวจะความรู้สึกไวกว่าคนปกติ และรู้สึกว่าปวดท้องหนักมาก ทำให้กังวลว่าจะเป็นโรคร้าย เป็นต้น เมื่อพบแพทย์แล้วแพทย์ทำการวินิจฉัยว่าไม่ได้ป่วยก็จะไม่ยอมเชื่อ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะมีความรู้สึกว่าตัวเองป่วยจริงๆ และไม่ได้แกล้งทำ ซึ่งเกิดจากจิตใต้สำนึกของบุคคลนั้น ขณะที่บางรายมีอาการทางกายบางอย่าง แต่บางรายก็อาจไม่ได้มีอาการเลยก็ได้ เช่น การนั่งใกล้ผู้ติดเชื้อ HIV แล้วกังวลว่าตนเองจะได้รับเชื้อมาทางระบบทางเดินหายใจ เมื่อพบแพทย์และทำการวินิจฉัยโรคว่าไม่พบ ก็จะหายกังวลไปได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งแล้วกลับมากังวลใหม่ และพบแพทย์ใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพด้านต่าง ๆ จึงควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และหากสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรค Hypochondriasis แพทย์จะส่งต่อให้ผู้ป่วยทำการรักษากับจิตแพทย์
สาเหตุของ Hypochondriasis
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของ Hypochondriasis อย่างแน่ชัด ส่วนใหญ่พบว่าเป็นอาการเรื้อรังที่เริ่มขึ้นในวัยกลางคนและอาการมักจะแย่ลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยอาจเป็นผลมาการได้รับความรุนแรงหรืออาการเจ็บป่วยขั้นรุนแรงในวัยเด็กจนอาจนำไปสู่ความกังลในภายหลัง มีความเชื่อจากข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง และสมาชิกในครอบครัวมีความวิตกกังวลคล้ายกัน
นอกจากนี้ ปัจจัยบางอย่างอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิด Hypochondriasis ได้มากขึ้น เช่น มีผู้ปกครองหรือญาติเจ็บป่วยขั้นรุนแรง ผ่านการเผชิญหน้ากับความเครียดหรือปัญหาใหญ่ในชีวิต เคยเจ็บป่วยด้วยโรคที่ร้ายแรงแต่มีอาการที่ไม่รุนแรง มีแนวโน้มที่จะมีนิสัยชอบกังวลและค้นหาข้อมูลสุขภาพทางอินเทอร์เน็ตมากเกินไป เป็นต้น
บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถพบได้ในทุกช่วงอายุทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ แต่ที่พบมากจะอยู่ในกลุ่มอายุ 20-30 ปี ส่วนมากคนที่มีความกังวลจะมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับโรคนั้นๆ เช่น การกังวลถึงการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ คนที่มีพฤติกรรมนี้ก็จะมีความกังวลต่อโรคนี้เป็นพิเศษ แต่ถ้าหากเป็นผู้สูงอายุที่เห็นคนใกล้ตัวเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจ หรือพบเห็นข่าวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้สูงอายุด้วยโรคหัวใจบ่อยๆ ก็จะมีความกังวลต่อโรคนี้มากกว่าโรคอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้การเป็นโรคของคนในครอบครัวก็มีส่วนที่ทำให้เกิดความกังวล อย่างผู้ป่วยบางรายที่อาจเคยมีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ เมื่อตัวเองมีอาการแน่นหน้าอก ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดทั่วไป หากในคนปกติก็จะถอนหายใจสักสองสามครั้ง นั่งพักสักครู่ก็หาย แต่ถ้าเป็นคนป่วยด้วยโรค Hypochondriasis ซึ่งอาจมีความกังวลในเรื่องของโรคหัวใจอยู่แล้ว จากคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้มาก่อน เมื่อถอนหายใจแล้วจะสามารถหายไปได้ช่วงหนึ่ง แต่ก็จะกลับมาเป็นใหม่ เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับโรคดังกล่าวอยู่
การวินิจฉัยโรคคิดว่าตัวเองป่วย
จะมีการตรวจทั้งทางกายและใจร่วมกัน ก่อนอื่นต้องตรวจให้แน่ใจก่อนว่าคนไข้ไม่ได้เป็นโรคที่กังวลอยู่จริงๆ หรือถ้าหากตรวจพบตามอาการที่คนไข้บอก ก็ต้องแน่ใจก่อนว่าอาการนั้นไม่ใช่โรคร้ายที่คนไข้กังวลอยู่ นั่นเป็นการตรวจทางกาย แล้วจึงตรวจทางใจร่วมกัน
โดยทั่วไปค่อนข้างรักษายาก เพราะเกิดจากความกังวลและเป็นตัวตนของคนไข้เอง ก่อนอื่นก็ต้องอธิบายให้คนไข้เข้าใจก่อนว่าร่างกายของคนไข้ปกติดี ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร ซึ่งต้องอาศัยท่าทีที่น่าเชื่อถือของแพทย์ร่วมด้วย หรืออาจอธิบายให้คนไข้เข้าใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้รุนแรงหรือเป็นโรคร้าย ขั้นต่อไปคือการให้ยาลดความวิตกกังวล รวมถึงการฝึกฝนคนไข้ใหม่ เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมอง ความคิดของตัวเอง เกี่ยวกับอาการป่วยที่คนไข้กังวลอยู่ ในขั้นนี้จะเรียกว่าจิตบำบัด ที่สำคัญที่สุดคนรอบข้างต้องให้ความเข้าใจในตัวคนไข้อย่างมาก