
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงส่งผลต่อสภาพแวดล้อมบริเวณบนพื้นที่ราบลุ่ม แต่ยังสะเทือนต่อกิจกรรมการปีนเขาในเส้นทางเอเวอเรสต์ บนเทือกเขาหิมาลัย โดยส่งผลให้มีความยากและความเสี่ยงอันตรายมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ในปี 2019 การละลายของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาเอเวอเรสต์ตกเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก เพราะได้เปิดเผยให้เห็นศพของนักปีนเขาที่เสียชีวิตอยู่ใต้หิมะและธารน้ำแข็งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การเสียชีวิตบนยอดเขาเอเวอเรสต์ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเกิดหิมะถล่ม ซึ่งคิดเป็น 41% ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด และเหตุหิมะถล่มเองก็เชื่อมโยงกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยเช่นกัน โดยรายงานในปี 2019 ระบุว่า พบศพผู้เสียชีวิตมากเกือบ 300 ราย ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างประเทศว่า ในการปีนเขานักปีนเขาจะต้องพึ่งพาสภาพอากาศในการคาดเดาระยะเวลาของการเดินทาง แต่ด้วยอุณภูมิที่ร้อนขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยละลาย ซึ่งทำให้การปีนเขาไม่สามารถคาดเดาระยะเวลาการปีนเขาได้เหมือนที่มา
ปี 2023 มีนักปีนเขาที่เสียชีวิตระหว่างไปสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์มากเป็นประวัติการณ์ เพราะการเปลี่ยนแแปลงสภาพอากาศที่แปรปรวน แม้ว่าว่าการเนปาลจะกล่าวตำหนิการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับบอกว่า “ภาวะโลกร้อน” ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการปีนเขาเอเวอเรสต์
ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เคนตัน คูล นักปีนเขาชาวอังกฤษ วัย 49 ปี ผู้พิชิตเอเวอเรสต์ 17 ครั้ง เผยปริมาณหิมะบนยอดเขาที่สูงที่สุดของโลกแห่งนี้ลดลงอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนทำให้ส่วนที่เป็นภูเขาหินปรากฏออกมามากขึ้นและมีสภาพแห้งแล้ง ซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 2000 ยอดเขาเอเวอเรสต์เคยมีหิมะตกหนักมาก แต่ในตอนนี้ปริมาณหิมะลดลง อาจมีสาเหตุมาจากการที่ไม่มีฝน ไม่มีหิมะตกลงมา จากภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมบางประการ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่กการปีนเขาในเทือกเขาฮินดูกูช ซึ่งเป็นเทือกเขาทางตะวันตกของเทือกเขาหิมาลัย ในสองส่วนหลักคือ ภูมิประเทศเป็นธารน้ำแข็ง และภูเขามีความเสถียรภาพน้อย ผลการวิจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยกำลังละลายและหายไปจำนวนมาก โดย รศ.โจเซฟ ซี ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่มหาวิทยาลัยนอร์เทิร์นบริติชโคลัมเบีย ระบุว่าในปี 2019 พบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังลุกลามและทำลายเทือกเขาหิมาลัย จนส่งผลให้ธารน้ำแข็งเกิดการหดตัวและขั้นดินที่เยือกแข็งถาวรละลาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ยังบอกว่าเส้นทางที่นักปีนเขาให้เป็นเส้นทางเพื่อไต่ขึ้นสู่ยอดเขานั้นขึ้นอยู่กับความเสถียรภาพของธารน้ำแข็ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกคูมบู ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเบสแคมป์เอเวอเรสต์ ซึ่งเป็นจุดที่ 1 สำหรับการเปิดขึ้นไปในเส้นทาง เอเวอเรสต์ อย่างไรก็ตามนักวิจัยได้เจาะเข้าไปในธานน้ำแข็งบริเวณคูมบู พบว่ามันเข้าสู่ที่จะหลอมเหลวมากแล้ว แม้ว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยแต่ธารน้ำแข็งบริเวณคูมบูก็พร้อมที่ละลายอย่างรวดเร็วในระยะอีกไม่นาน
ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ที่รุนแรงตามมากด้วยไม่ว่าจะเป็นเหตุการณหินถล่ม เพราะส่วนใหญ่จะถูกยึดด้วยธารน้ำแข็ง แต่ในกรณีที่น้ำแข็งเกิดการละลายก็จะส่งผลให้การยึดเกาะของหินลดลงโดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาแอลป์ และพื้นที่ที่เกิดการละลายตัวของธารน้ำแข็ง ทั้งนี้นักปีนเขาอาจจะมีความมั่นใจมากขึ้นในการผ่านความอันตรายเหล่านี้ ในช่วงก่อนที่ภูมิภาคนี้อากาศจะอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว การคาดการณ์การถล่มของหิมะ และหินจากนี้จะทำได้ยากยิ่งขึ้น และจะเห็นถึงความลาดเอียงของพื้นที่มากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าแน่นอนว่าพื้นที่แห่งนี้จะยิ่งอันตรายมากยิ่งขึ้น
ส่วนที่สองคือ นับจากนี้ต่อไปสภาพอากาศบนเทือกเขาเอเวอเรสต์จะเริ่มคาดเดาได้ยากมากขึ้น ทำให้การวางแผนล่วงหน้าเพียง 2-3 ของนักปีนเขาอาจจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป โดย คริส โทเมอร์ นักอุตุนิยมวิทยาและนักพยากรณ์อากาศในโคโลราโด และผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่เอเวอเรสต์ ระบุว่าปกติในช่วงเดือนพฤษภาคมจะมีความเร็วผ่านเข้ามาในช่องเขาประมาณ 30 กม./ ชม. โดยจะเกิดขึ้นช่วงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ช่องลมมีแนวโน้มที่จะปรากฏขึ้นในฤดูมรสุมโดยจะมีผลทำให้ลมบริเวณนั้นลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อการปีนเขา เพราะโดยปกติแล้วหากมีลมที่ความเร็วเกิน 30 กม./ ชม.จะไม่เหมาะสมกับการปีนเขา และนักปีนเขาเลือกที่จะไม่ปีนในช่วงเวลาดังกล่าวเพราะมีความเสี่ยงและอันตรายจนเกินไป แต่สิ่งที่เราพบหลังจากเกิดภาวะโลกร้อนคือ สภาพอากาศคาดเดาได้ยากมากขึ้นและเอาแน่เอานอนไม่ได้
ในขณะที่รัฐบาลเนปาล กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของการเสียชีวิตในเอเวอเรสต์ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นักปีนที่ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสม หรือไม่มีความรู้ความสามารถที่เพียงพอ น่าจะเป็นต้นเหตุของส่วนใหญ่ของการเสียชีวิต ขณะที่ 11 จาก 17 คนที่เสียชีวิตนั้นบางรายถูกกล่าวว่าเป็นการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติ เพราะแน่นอนว่าการปีนเขาเอเวอเรสต์มักจะมีปริมาณออกซิเจนต่ำ รวมทั้งความพยายามที่ร่างกายต้องทำเพื่อปีนในระดับสูงนั้นเป็นการทำให้ร่างกายเครียด ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการปีนเขาเอเวอเรสต์ กล่าว
source : Climate change is making climbing in the Himalayas more challenging.