svasdssvasds
เนชั่นทีวี

รักษ์โลก

'วีแกน' เทรนด์การบริโภคที่ส่วนหนึ่งมาจากการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม

เพราะเหตุใด “วีแกน” จึงกลายเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียนสัตว์ ทั้งยังเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

  • วีแกน คืออะไร ทำไมถึงดีต่อสิ่งแวดล้อม?

วีแกน (Vegan) ในความหมายของหลายคนคือ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โดยจะทานเฉพาะผักผลไม้ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ นม เนย ชีส ไข่ รวมถึงน้ำผึ้ง ซึ่งความจริงมีอะไรมากกว่านั้น ปัจจุบันกลุ่มคนที่บริโภคอาหารวีแกนจะมีความเคร่งครัดมากกว่าการรับประทานแบบ Veggie หรือทานมังสวิรัติโดยทั่วไป เพราะว่านอกจากชาววีแกนจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังงดเว้นการบริโภคอาหารที่ไม่เบียดเบียนสัตว์เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นงดบริโภค นม เนย ชีส ไข่ หรือแม้กระทั้งน้ำผึ้ง หรืออาหารในกลุ่มเจลาติน เพราะทำมาจากไขของกระดูกสัตว์

'วีแกน' เทรนด์การบริโภคที่ส่วนหนึ่งมาจากการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม

  • วีแกน ไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร!!

นอกจากนี้ คนที่เป็นวีแกนยังถือเรื่องการไม่ใช้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องไปเบียดเบียนสัตว์เพื่อให้ได้มาซึ้งสินค้านั้นๆ เช่น กระเป๋าหนังสัตว์ รองเท้าหนังสัตว์ทุกชนิด โซฟาที่ใช้หนังสัตว์มาเป็นวัสดุหลัก และถ้าเป็นคนที่เคร่งครัดมาก เครื่องสำอางบางชนิดที่มีการทดลองกับสัตว์ เช่น หนู หรือลิง ถ้าชาววีแกนรู้ว่าแบรนด์นั้นๆ มีการทดลองในห้องแล็บก่อนนำมาขายก็อาจจะแบนไปเลยก็มี ส่วนใหญ่จะเห็นจากชาวยุโรปและอเมริกันค่อนข้างเยอะที่รณรงค์ในเรื่องนี้

'วีแกน' เทรนด์การบริโภคที่ส่วนหนึ่งมาจากการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม

  • กระแสสุขภาพทำให้คนรู้จัก "วีแกน" มากขึ้น

สำหรับเมืองไทย กระแสความนิยมทานอาหารแบบวีแกน เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากได้ทั้งสุขภาพ และอาหารหลายๆ เมนูส่วนใหญ่ถือว่าเป็นอาหารคลีน และให้พลังงานไม่มากด้วย จึงเหมาะกับคนที่กำลังสนใจเรื่องสุขภาพ กำลังลดน้ำหนัก กำลังลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอล และหลายคนเห็นเพื่อนที่เริ่มทานอาหารตามสไตล์แบบวีแกนเห็นผลในเรื่องน้ำหนัก ผิวพรรณที่ดีขึ้น และทำให้หน้าตาผ่องใส จึงเป็นความนิยมในการเริ่มทานอาหารประเภทนี้กันมากขึ้น

  • วีแกนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง?

การทานวีแกนช่วยลดปริมาณการปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” จากการทำฟาร์มปศุสัตว์ เนื่องจากช่วยลดจำนวนผู้บริโภคเนื้อสัตว์ลง ลดการใช้ที่ดินซึ่งเป็นการการใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อมาผลิตอาหารสัตว์ ทั้งยังช่วยส่งเสริมการเกษตรให้เพิ่มมากขึ้น เน้นการปลูกพืชที่ให้คุณค่าทางสารอาหารสูง เพื่อสนับสนุนผู้บริโภค และยังใช้ทรัพยากรในการดูแลน้อยลงเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี การหันมาใช้ชีวิตแบบวีแกนเป็นมิตรกับทั้งคน สัตว์ และโลก ถึงจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการลดโลกร้อน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หาก "วีแกน" ยังได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ ในอนาคตเราจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเดิม

'วีแกน' เทรนด์การบริโภคที่ส่วนหนึ่งมาจากการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม

การศึกษาเผยว่าการรับประทานอาหารแบบ “วีแกน” ลดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมได้

การวิเคราะห์สรุปได้ว่าการรับประทานอาหารวีแกนสามารถช่วยลดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตอาหารได้อย่างมาก โดยการรับประทานอาหารวีแกนช่วยลดการปล่อยมลพิษจากสภาพอากาศร้อน มลพิษทางน้ำ และการใช้ที่ดินถึง 75% เมื่อเทียบกับการรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์มากกว่า 100 กรัมต่อวัน

ศาสตราจารย์ Peter Scarborough แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งเป็นผู้นำการวิจัยกล่าวว่า “การเลือกรับประทานอาหารของเรามีผลอย่างมากต่อโลกใบนี้ การลดปริมาณเนื้อสัตว์และนมในอาหารของเราอาจสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อรอยเท้าคาร์บอนของเรา”

ระบบอาหารทั่วโลกมีผลกระทบซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงหนึ่งในสามของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด นอกจากนี้ ยังใช้น้ำจืดถึง 70% ของโลก และก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและทะเลสาบถึง 80% ประมาณ 75% ของที่ดินบนโลกถูกใช้โดยมนุษย์ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อการเกษตร และการทำลายป่า

ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดในการศึกษานี้คือ "การปล่อยก๊าซมีเทน" ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพและผลิตโดยวัวและแกะ ซึ่งต่ำกว่า 93% สำหรับอาหารมังสวิรัติเมื่อเทียบกับอาหารที่มีเนื้อสัตว์มาก

'วีแกน' เทรนด์การบริโภคที่ส่วนหนึ่งมาจากการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อม

  • ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "วีแกน"

ก่อนหน้านี้มีประเด็นเรื่องการปลูกถั่วเหลืองเชิงอุตสาหกรรมและการใช้พื้นที่มหาศาลเพื่อผลิตอาหารให้มนุษยษ์บริโภคเป็นไปอย่างไม่ยั่งยืน จนบางกลุ่มถึงขนาดกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของชาววีแกน หรือชาวมังสวิรัติ ทั้งถั่วเหลืองทั้งหมดในเต้าหู้ เบอร์เกอร์ถั่วเหลือง หรือนมถั่วเหลืองเป็นสาเหตุที่ทำให้ป่าถูกทำลาย

แต่ไม่ใช่เลย เพราะมีเพียง 6% ของถั่วเหลืองที่ปลูกทั่วโลกเท่านั้นที่บริโภคโดยมนุษย์ ถั่วเหลืองส่วนใหญ่ที่ปลูกทั่วโลกมีเป้าหมายเพื่ออุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ โดย 70-75% ของถั่วเหลืองถูกนำไปใช้เป็นอาหารของไก่ หมู หรือวัว (ส่วนที่เหลือนำไปใช้อย่างอื่น เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงและเชื้อเพลิงชีวภาพ)

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมามีการผลิตเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นกว่าสี่เท่าตัว โดยปัจจุบันสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่าครึ่งบนโลกคือปศุสัตว์ ซึ่งผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนี้มีอย่างมากมาย การให้อาหารหรือปล่อยสัตว์ลงแทะเล็มหญ้ากินพื้นที่เทียบเท่ากับภาคเหนือ กลาง และใต้ของสหรัฐรรวมกัน ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวยังเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบจะเป็นอันดับที่ 6 ของโลกอีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญองค์การสหประชาชาติชี้ว่า การเปลี่ยนวิถีการบริโภคอาหารมาเป็นกินอาหารจากพืชจะสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (IPCC) เผยแพร่รายงานที่ศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ 107 คน ในการประชุมที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า การบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ในประเทศตะวันตกที่มีปริมาณสูงมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า พวกเขาไม่ได้เรียกร้องให้ผู้คนเปลี่ยนมาบริโภคแบบมังสวิรัติ แต่หากสามารถลดการบริโภคเนื้อสัตว์ได้จะทำให้ลดการใช้ที่ดินลง แต่ก็สามารถผลิตอาหารเพื่อคนจำนวนมากขึ้นได้ด้วย โดยคณะกรรมการชุดนี้ยังชี้อีกว่าหากที่ดินถูกใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็จะยิ่งซึมซับการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยออกจากมนุษย์ได้มากขึ้น